แม้เราจะพอทราบกันว่านักเขียนหลายคนในโลก เป็นนักดื่มตัวยง
แต่ใครกันเล่าจะรู้ว่านอกเหนือจากที่สุดของที่สุดอย่าง เอฟ.ซี.สก็อต ฟิตเจอรัลด์ และวิลเลียม โฟลก์เนอร์ แล้ว ยังมีนักเขียนอีกเป็นจำนวนมากตั้งแต่ยุค เอ็ดการ์ อลัน โป, อาตูร์ แรงโบลด์ ไล่เรียงมาเรื่อยจนถึงเชอร์วูด แอนเดอสัน และ เออร์เนส เฮมิงเวย์ ทุกคนล้วนแต่เป็นนักดื่มในระดับที่เรียกว่า แอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด แทบทั้งสิ้น ความสร้างสรรค์กับความเมา จึงกลายเป็นเหมือนคู่สมรสที่ในแวดวงวรรณกรรมรู้จักเป็นอย่างดี
เหมือนอย่างทรูแมน คาโปเต ในระหว่างเขียนนวนิยาย (ที่สร้างจากเรื่องจริง In Cold Blood) มุขตลกที่ล้อเล่นกันในหมู่นักเขียนในยุคต่อมาก็คือ “เขาคงดื่มมากจนเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของเขา กลายเป็นแอลกอฮอล์ และแอลกอฮอล์นั่นก็ช่างเย็นจริงๆ” ไม่เพียงเท่านั้น เสียงร่ำลือในพฤติกรรมที่ร้ายกาจสุดทนของวิลเลียม โฟลก์เนอร์ ก็มาจากตอนที่เขาเมาอาละวาดไม่ได้สติ
แน่นอน การดื่มไม่ได้ทำให้นักเขียนนั่งลงเพื่อสงบสติอารมร์เขียนงานหรือเคาะแป้นพิมพ์ดีดด้วยพลังสร้างสรรค์ทุกครั้งไป หากบ่อยครั้งเลยที่การดื่มทำให้เขาละทิ้งทุกอย่างเพื่อทำลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มิพักต้องพูดถึงชีวิตคู่ หรือครอบครัวที่มักจะพังราบลงไปก่อน ซึ่งนักเขียนในระดับตำนานของวรรณกรรมอเมริกันยุคใหม่อย่าง เฮอร์แมน เมลวิลล์เองก็ไม่รอด พ้นจากอำนาจแห่งความเมานี้
เรื่องแปลกๆของนักเขียนกับความเมาอีกเรื่องที่ควรเล่าลงไปตรงนี้ก็คือตอนที่แจ็ค ลอนดอน ผู้ประพันธ์ผลงานคลาสสิคอย่าง Martin Eden ต้องการจะเขียนงานบันทึกสักเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า John Berleyconภรรยากลับแนะนำให้เขาเปลี่ยน ชื่อเสียงใหม่ว่า Alcoholic Memoir เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเป็นครั้งแรกของเขา เมื่อมีอายุได้ 5 ขวบ ไปกระทั่งเมื่อเขาโตขึ้น และดื่มชนิดหัวไม่ราน้ำ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสียดเย้ยในตัวเองมากพอ อยู่ที่ลอนดอนไม่ได้ดื่มเลยแม้สักหยดเดียวในตอนที่เขียน หากเขาตั้งกฏเหล็กกับตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อครบหนึ่งพันคำเมื่อไร เขาจะดื่มเพียงจิบหนึ่ง เขา อธิบายไว้ว่า “ยิ่งเขาดื่มมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องการที่จะดื่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดผลที่เท่าเทียมกัน” ใช่ ดังนี้เองที่ แจ็ค ลอนดอน จะได้งานเขียนเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เขาต้องการดื่ม นับเป็นวิธีการทำงานที่แปลกอันหนึ่ง ขณะที่เรื่องราวความเมาระหว่างบรรทัดของเฮมิงเวย์ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ใครที่อ่าน A Moveable Feast หรือชีวิตไม่จีรังของเขาย่อมจำได้ว่า มีหลายบทบาทหลายตอนเลยทีเดียวที่เฮมิงเวย์ ได้ทำการนินทาพฤติกรรมการดื่มของนักเขียนหลายต่อหลายคน อาทิเช่น เอฟ.ซี.สก็อต ฟิตเจอรัลด์ ที่เขาบอกว่า “การที่ได้ดื่มเหล้าองุ่นขาวร่วมกันเพียงสองสามขวด นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในตัวสก็อต แล้วทำให้เขาเป็นตัวตลกถึงเพียงนี้” หรือนักเขียนที่เฮมิงเวย์เชื่อมั่นในความสามารถอย่างชนิดไม่เคยแม้แต่จะกล่าวกระทบกระเทียบเลยอย่าง เจมส์ จอยส์ เองก็ถูกพาดพิงถึง “จอยส์สั่งเหล้าเชอรี แต่ท่านจะอ่านพบเสมอๆว่าเขาดื่มเหล้าองุ่นขาวสวิสส์เท่านั้น”
หากสำหรับในชีวิตจริงๆของเฮมิงเวย์ ในปี ค.ศ. 1939 หมอสั่งให้ลดปริมาณการดื่มลง ซึ่งโดยปรกติแล้วเขาต้องดื่มวิสกี้ก่อนอาหารมื้อเย็น 3 แก้ว กระทั่งปีต่อมาเฮมิงเวย์จึงกลับไปดื่มทั้งวอดกา, แอบแซงธ์, วิสกี้, ยินโทนิค หรือแม้แต่บังคับให้ลูกที่มีอายุแค่ 10 ขวบดื่มเหล้าแรงๆ ก่อนที่เฮมิงเวย์จะจบชีวิตลงด้วยวัย 62 ปี โดยการก่ออัตวินิบากกรรม ว่ากันว่า เขาป่วยด้วยโรคร้ายที่เป็นผลติดตามมาจากโรคพิษสุราเรื้อรังอีกเป็นสิบๆโรค ทว่าก็มีนักเขียนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่วางตัวไกลห่างจากการดื่ม (ชนิดที่เรียกว่าไม่แตะต้องเลยก็ว่าได้) หนึ่งในจำนวนนี้มีเพื่อนของหลายคนที่เป็นนักดื่ม อย่างเช่น แนธเนียล ฮอว์ธอร์น (เพื่อนบ้านของเฮอร์แมน เมลวิลล์) ผู้ประพันธ์งาน The Scarlet Letter เขาเป็นผู้ที่ปฏิเสธการดื่มเหมือนเช่นนักปรัชญาของชาวอเมริกันคนสำคัญ ราฟ วาลดู อีเมอร์สัน ที่ควงแขนมากับเฮนรี เดวิด ธอโร หรือกวีหญิงเอมิลี ดิคกินสันเอง ที่แม้ชั่วชีวิตของเธอจะตกอยู่ในห้วงระทมทุกข์ แต่เธอเองก็ไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาเหล้า หากเราสังเกตก็จะพบว่า นักเขียนในกลุ่มที่ไม่ดื่มนี้มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นหรือกลางศตวรรษที่ 19 แต่นักเขียนส่วนใหญ่ที่เราได้อ้างถึงในตอนแรกมักมีชีวิตอยู่ในต้นศตวรรษที่ 20
ดังนั้น จึงมีนักคิดบางคนที่เชื่ออย่างลึกซึ้งว่า “โรคพิษสุราเรื้อรังเป็นโรคระบาดในหมู่นักเขียนของศตวรรษที่ 20” ซึ่งถ้าคำกล่าวนี้เป็นจริงมันก็คงจะใช้กับศตวรรษต่อมาด้วยเช่นกัน เพราะนักเขียนจำนวนมากที่มีอยู่ตอนนี้ยังไม่สร้างเมาเลย
TEXT : ลิลิธ