ในโลกภาพยนตร์ มีผู้คนมากมายที่เป็นเพียงผู้ชม แต่ไม่เคยได้เป็นผู้สร้าง เช่นเดียวกับ ในโลกหนังสือ มีผู้คนมากมายที่ได้เป็นเพียงผู้อ่าน แต่ไม่เคยได้เป็นผู้เขียน เช่นเดียวกับในโลกจิตรกรรม มีผู้คนมากมายที่เป็นเพียงผู้เสพ แต่ไม่เคยได้เป็นผู้ลงฝีแปรง
ถามว่าผู้คนมากมายเหล่านั้น ไม่เคยคิดอยากจะสร้างภาพยนตร์ซักเรื่อง เขียนหนังสือสักเล่ม หรือสร้างศิลป์สักชิ้นหรือ ? คำตอบคือ ไม่ใช่เช่นนั้นแน่
ภาพยนตร์ดีๆสักเรื่อง หนังสือดีๆสักเล่ม งานศิลป์ดีๆสักชิ้น มีพลังที่จะสร้างสุนทรียภาพแก่ผู้ที่เข้าถึง และนอกจากสุนทรียภาพนั้น ก็คือ แรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนสถานะของผู้ชม มาสู่การเป็นผู้สร้าง แต่ถ้าเทียบสัดส่วนโลก ก็ยังมีผู้สร้างภาพยนตร์ไม่มากเท่าผู้ชม นักเขียนยังไม่มากเท่านักอ่าน เช่นเดียวกับศิลปิน ยังไม่มากเท่าผู้เสพ
ทำไม ? คำถามสั้นๆที่ภาพยนตร์ชันดีสัญชาติอิตาลี เล่าเรื่อง Cinema Paradiso มีคำตอบสั้นๆให้เช่นกันว่า เพราะพวกเขาไม่ได้ลงมือทำ Cinema Paradiso เล่าเรื่องของโตโต้ เด็กชายผู้หลงใหลในภาพยนตร์ เขาโตมาด้วยการวนเวียนอยู่ในโรงภาพยนตร์ชื่อ Cinema Paradiso ที่มีคุณลุงคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ฉายหนัง โตโต้ชอบดูภาพยนตร์ ชอบเข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องฉายหนัง เรียนรู้วิธีการฉายจากคุณลุง จนวันหนึ่ง ฟิลม์หนังติดไฟกลายเป็นเพลิงไหม้ห้องฉายและโรงภาพยนตร์จนวอดวาย โตโต้เป็นคนเดียวที่เข้าไปช่วยคุณลุงออกมาจากพระเพลิงที่ไหม้ลุก คุณลุงมีชีวิตรอด แต่ต้องเสียดวงตาทั้งสองข้างไป โตโต้จึงกลายมาเป็นคนฉายหนังของเมืองไปโดยปริยาย
วันเวลาผ่านไป โตโต้กลายเป็นชายหนุ่ม เขายังคงเป็นคนฉายหนัง ยังมีมิตรชราตาบอดอยู่เคียงข้าง จนวันหนึ่งเขาพบรักกับสาวสวย ทั้งสองสานสัมพันธ์รักแก่กัน แต่ก็ถูกอุปสรรคกั้นขวาง ทั้งพ่อของหญิงสาวที่เป็นผู้มีอิทธิพลและการที่โตโต้ต้องไปรับใช้ชาติ เมื่อโตโต้ปลดประจำการกลับมา เมืองที่เขาเคยอยู่เปลี่ยนไป มีคนฉายหนังคนใหม่มาทำงานแทนเขา หญิงสาวที่เขารักจากไปอย่างไร้ตัวตน มีเพียงมิตรชราที่ยังอยู่ และเป็นผู้ผลักดันโตโต้ให้ออกไปจากเมืองไปตามหาความฝันของตัวเอง ไม่เช่นนั้นในอนาคตชายหนุ่มก็จะกลายเป็นเพียงชายชรา ที่ทำได้เพียงฉายหนังของคนอื่น โดยที่ไม่มีโอกาสได้สร้างหนังของตัวเองเลย เช่นเดียวกับคุณลุงตาบอด
โตโต้ตัดสินใจออกเดินทางไกล ไกลออกไปจากเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา จากแม่และน้องสาว จากมิตรชราตาบอดผู้บอกว่า ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ! แล้วในที่สุดโตโต้ก็ไม่ใช่นักฉายหนัง เขากลายเป็นผู้กำกับใหญ่ เขาไม่ต้องฉายหนังให้คนอื่นอีกต่อไป แต่คนอื่นนั่นต่างหากที่ต้องมาฉายหนังให้เขา
ถอยออกจากโลกภาพยนตร์กลับมาสู่โลกความจริง ทำไมผู้ชมภาพยนตร์จำนวนมากเป็นได้เพียงผู้ชม ทั้งๆที่ในใจลึกๆเขาก็อยากจะสร้างภาพยนตร์ของตัวเองให้คนอื่นชมบ้าง ไม่ขอกล่าวซ้ำ แต่แนะนำให้หาภาพยนตร์เรื่องนี้มาชม นอกจากจะได้คำตอบ คุณยังจะได้สุนทรียภาพและแรงบันดาลใจมากมายที่ภาพยตร์เรื่องนี้มีให้อย่างที่ผมไม่อาจให้คุณได้ และอย่าลืม ชมจบแล้ว จงก้าวออกไปสร้างหนังของตัวคุณเองสักเรื่อง เช่นเดียวกับลงมือเขียนหนังสือสักเล่ม หรือทำงานศิลป์สักชิ้น หรือทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ ไม่เช่นนั้นคุณก็จะเป็นแค่เพียงผู้ชม ผู้อ่าน ผู้เสพ และผู้มองความสำเร็จของผู้อื่นด้วยแววตาละห้อยหาไปตลอดชีวิตของคุณ
TEXT : กิติคุณ คัมภิรานนท์