Alessandro Baricco

Senza sangue สงคราม นรก และโลกใหม่ ที่ไร้เลือด หนังสือเล่มนี้อ่านง่าย แต่เขียนถึงยาก ผู้เขียนรำพึงกับตัวเองเมื่ออ่าน senza sangue หรือในชื่อภาษาไทยว่า ไร้เลือด ของ อเลซซาน บาริกโก (Alessandro Baricco)

นักเขียนชาวอิตาเลี่ยน จบลงที่เขียนถึงยากไม่ใช่เพราะนวนิยายไม่ใช่เพราะนวนิยายขนาดสั้นเล่มนี้อัดแน่นด้วยอภิปรัชญาที่ยากแก่การตีความ หากแต่ภายในหน้ากระดาษร่วมร้อยกว่าหน้านี้ บรรจุถ้อยคำอย่างจำกัดจำเขี่ยและเต็มไปด้วยช่องว่างระหว่างบรรทัด ที่รอให้ผู้อ่านจินตนาการนึกคิดต่อเติมเสริมแต่งเอง จึงกล่าวได้ว่า ไร้เลือด เป็นดั่งภามพจิตรกรรมที่ลงสีเพียงส่วนเสี้ยว แน่นอนว่าปลายภู่กันของบารีกโกนั้นตวัดให้งดงาม แต่เขาก็หาได้ลงหมด กลับเปิดพื้นที่ว่างให้ผู้อ่านได้แต่งเพิ่มเติมสีในส่วนที่ขาดตามแต่ใจปรารถนาเอง เป็นจิตรกรรมเพื่อสาธารณะโดยแท้

ไร้เลือด มีตัวละครเอกคือหญิงชื่อนีนา เนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเล่าถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กของนีนา ที่พ่อและพี่ชายของเธอถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะมาถึงช่วงที่ 2 ซึ่งเล่าถึงการกลับมาพบกันอีกครั้งของนีนาในวัยสูงอายุกับชายชราผู้เป็น 1 ใน 3 คน ที่ร่วมกันฆ่าพ่อและพี่ชายของเธอ

อ่าน ไร้เลือด จบแล้ว สัมผัสได้ถึงคำสำคัญ 3 คำ ที่บาริกโกใส่ไวในเนื้อหา คือ สงคราม  นรก และโลกใหม่ ซึ่งสะท้อนแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจ

สงคราม
คำนี้เป็นคำที่ถูกเอ่ยถึงมากครั้งที่สุดในเรื่อง อาจเป็นเพราะเรื่องราวการฆาตรกรรมในตัวบทมีต้นกำเนิดมาจากสงคราม (ที่แม้บาริกโกไม่ได้ระบุว่าเป็นสงครามที่ไหนหรือเมื่อไหร่ กระนั้นเขาก็ให้ภาพคล้ายคลึงกับฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ฝ่ายเยอรมันจับเชลยไปใช้เป็นหนูทดลองทางการแพทย์) กระนั้นแล้วหากพิจารณาจากบริบท สงครามที่บาริกโกกล่าวถึงนั้นลึกล้ำและยาวนานกว่าสงครามครั้งไหนๆ ดังเช่น
ตัวบทการโต้ตอบกันระหว่างนีนากับชายชราที่ร่วมกับเพื่อนฆ่าพ่อและพี่ชายของเธอ ที่ว่า

“…พวกคุณเข้าบ้าน คุณยิงใส่พ่อแล้ว ซาลินาสยิงใส่พ่อ สุดท้ายเอล กูรเร สอดปากกระบอกปืนเข้าปาก และระเบิดสมองพ่อด้วยเสียงปืนสั้นๆทึบๆ เพียงนัดเดียว ฉันรู้ได้อย่างไรหรือคะ เขาเล่าให้ฉันฟัง เขาชอบเล่าเรื่องนี้ เขาเป็นสัตว์ ทุกคนเป็นสัตว์ พวกคุณเป็นคนที่อยู่ในสงครามตลอดเวลา พระเจ้าจะให้อภัยคุณได้อย่างไร”
“พวกเราเป็นทหาร”
“พวกเรากำลังต่อสู้อยู่ในสงคราม”

ต่อคำตอบโต้นี้ของชายชรา หากพิจารณาร่วมกับการที่พวกเขาฆาตรกรรมพ่อของนีนาในอดีต เพราะพ่อของนีนาเป็นหนึ่งในบรรดาหมอผู้ทำการทดลองทางการแพทย์อันวิปริตกับเชลยศึก ซึ่งหนึ่งในเชลยนั้น คือ น้องชายของซาลินาส สงครามในเรื่องนี้ จึงคือความอาฆาตแค้นของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์

นรก
มีวลีหนึ่งปรากฏในกระแสสำนึกของนีนาในตอนท้ายเรื่อง วลีนั้นกล่าวว่า “…นรกซึ่งเราถือกำเนิดมา…” ซึ่งอาจฟังยากแก่การทำความเข้าใจ กระนั้นหากพิจารณาจากบริบท มิติที่ 1 นรกนี้คือ นรกของนีนา นรกอันเกิดจากการที่พ่อและพี่ชายถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม จนเธอต้องระหกระเหินอย่างโดดเดี่ยวในโลกกว้าง นรกแห่งความสูญเสียนี้เกาะกินหัวใจเธออยู่ตลอด มันคือความทรมานแห่งจิตใจ ซึ่งหากลงลึกลงไป นรกของนีนาก็เกิดขึ้นจากชาย 3 คนที่ร่วมกันฆ่าพ่อและพี่ชายของเธอ ยิ่งผนวกกับตัวบทที่ว่า

“ไม่ว่าคนเราจะพยายามมีชีวิตเพียงชีวิตเดียวมากแค่ไหน คนอื่นๆก็จะมองลงไปเห็นชีวิตอีกนับพัน แล้วนี่คือเหตุผลที่คนเราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายซึ่งกันและกัน” เราก็จะเห็นภาพของนรกในมิติที่ 2 อันเป็นนรกที่กว้างใหญ่ ลึกล้ำ และน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า เพราะเมื่อมนุษย์ทุกคนยากแก่การหลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายซึ่งกันและกันโลกใบนี้จึงคือนรก…หรือชีวิตของเรานี้เองคือนรก…

โลกใหม่
ด้วยความตระหนักได้ถึงสภาพความเป็นนรกบนโลกใบนี้ หลายต่อหลายคนจึงพยายามจะเข้าไปปรับเปลี่ยนแก้ไขนรกบนโลกเพื่อให้กำเนิดโลกใหม่ที่ดีกว่า กระนั้นโลกใหม่จะเกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อหลายต่อหลายคนที่ปรารถนาจะปรับเปลี่ยนนรกให้เป็นโลกใหม่กลับใช้นรกของตนเป็นเครื่องมือ เพื่อการปรับเปลี่ยนนั้น ดังเช่นชายทั้ง 3 ในตัวบท

“พวกเราเชื่อเรื่องโลกที่ดีกว่านี้”
“โลกที่เป็นธรรม ที่คนอ่อนแอไม่ต้องทนทุกข์จากการกระทำชั่วของคนอื่น ที่คนทุกคนมีสิทธิจะมีความสุขได้”
“เราถอยหลังไม่ได้ เมื่อคนเริ่มฆ่ากันเราถอยหลังไม่ได้แล้ว เราไม่ต้องการให้ถึงจุดนั้น คนอื่นเริ่มไว้แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้”
“มันก็เหมือนผืนดิน”
“เราจะหว่านอะไรลงไปก่อนไถดินไม่ได้ เราต้องไถดินให้แยกออกก่อน”
“ต้องผ่านความทรมานก่อน”
“มีของมากมายที่เราต้องทำลายก่อนแล้วถึงจะสร้างสิ่งที่เราต้องการได้ ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทนทุกข์ทรมานได้ และสร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นได้ ใครทนรับความเจ็บปวดได้มากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ เราจะฝันถึงโลกที่ดีกว่ากว่านี้แล้วคิดว่าจะได้มาเพียงเพราะร้องขอย่อมไม่ได้ พวกนั้นน่ะไม่มีวันยอมหรอกครับ เราต้องต่อสู้ แล้วถ้าเข้าใจสิ่งนี้ได้ ก็ไม่ต่างกันตรงไหนหากจะเป็นคนแก่หรือเด็ก เป็นเพื่อนหรือเป็นศัตรู เรากำลังไถเพื่อแยกแผ่นดินออก ทำอะไรอื่นไม่ได้ นี่เป็นวิธีที่ต้องทำ ไม่มีวิธีไหนหรอกที่ไม่ทำให้เจ็บปวด แล้วเวลาที่ทุกอย่างดูโหดร้ายเกินไป เราก็ยังมีความฝันที่ต้องปกป้องเอาไว้ เรารู้ว่ายิ่งราคาที่จ่ายไปสูงเพียงไหน ของรางวัลที่ได้ก็จะยิ่งใหญ่เพียงนั้น เพราะไม่ได้ต่อสู้เพื่อเงินเล็กน้อยหรือเพื่อที่ดินทำกินหรือเพื่อธงชัย เราทำเพื่อโลกที่ดีกว่านี้…เรากำลังมอบชีวิตที่ควรค่าแก่คนนับล้าน มอบหนทางที่จะมีความสุขได้ มีชีวิตและตายอย่างมีศักดิ์ศรีได้โดยไม่ถูกย่ำยีหรือเย้ยหยัน เราไม่มีค่าอะไร พวกเขาสิเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง คนนับล้านต่างหากที่เราต้องต่อสู้เพื่อพวกเขา เด็กคนเดียวที่ตายคาผนังบ้านจะมีความหมายอะไร หรือต่อให้เป็นเด็กสิบคนหรือร้อยคน เราต้องไถแยกผืนดินและเราได้ทำไปแล้ว เด็กอื่นหลายล้านคนรอให้เราทำให้และเราก็ลงมือทำ…”

กระนั้นก็ตาม คำอธิบายที่ยาวยืดของชายชรา กลับกลายเป็นเพียงวลีที่เลื่อนลอยไร้รูปเมื่อนีนาถามขึ้นว่า “พวกคุณชนะสงคราม แล้วตอนนี้เหมือนเป็นโลกที่ดีกว่าเดิมสำหรับคุณไหมคะ” แน่นอนว่าไม่ เฉกเช่นประโยคอมตะที่ว่าหนามยอกให้เอาหนามบ่ง กระนั้นต่อประเด็นการปรับเปลี่ยนนรกให้กลายเป็นโลกใหม่ที่ดีกว่า จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อเอานรกปะทะนรก ผลที่ได้อาจคือนรกยกกำลัง 2 หรือลบล้างเสีย จนทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออีกเลย ยิ่งมนุษย์มีความอาฆาตแค้นเป็นที่ตั้งโดยธรรมชาติด้วยแล้ว การสร้างโลกใหม่จากเถ้าถ่านของนรก ดูจะยิ่งห่างไกลความเป็นจริงและเหลือทิ้งสิ่งที่ตรงกันข้าม ดังตัวบทที่ว่า

“เราพลิกผืนแผ่นดินรุนแรงเสียจนปลุกความโหดเหี้ยมของเด็กให้ตื่นขึ้นด้วย
มากกว่านั้น ยิ่งเราใช้ นรกในตัวปะทะนรกในโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มเชื้อไฟให้แก่นรกในตัวเรายิ่งขึ้นเท่านั้น ดังตัวบทที่นีนาตอบโต้ชายชราที่ว่า
“…คุณถามตัวเองว่าต่อสู้อะไร ในเมื่อสงครามจบแล้ว ทำไมต้องลงมือฆ่าชายคนหนึ่งที่คุณไม่เคยพบเลยอย่างเลือดเย็น ไม่ให้โอกาสเขาขึ้นศาลแต่กลับฆ่าเขาดื้อๆด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นว่าเมื่อเริ่มลงมือฆ่าคนไปแล้วก็เลยไม่อาจหยุดได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคุณถามตัวเองนับพันครั้งว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามนี้ทำไม และอุดมคติเรื่องโลกที่ดีกว่าก็หมุนติ้วอยู่ในหัวของคุณตลอดเวลา…เพื่อไม่ต้องเห็นภาพคนอื่นๆที่ถูกฆ่าตายที่เต็มล้นความทรงจำของคุณในเวลานั้น เช่นเดียวกันกับในเวลานี้เป็นภาพอดีตที่คุณทนรับไม่ได้ เป็นเหตุผลเดียวเหตุผลแท้จริงที่คุณสู้ในสงครามก็เพราะคุณคิดแบบนี้อยู่ในหัวคุณเท่านั้น นั่นคือล้างแค้น ถึงตอนนี้คุณควรต้องพูดคำนี้ออกมาได้แล้ว ล้างแค้น คุณลุงมือฆ่าเพื่อล้างแค้นทั้งนั้น ไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจหรอกค่ะ มันเป็นยาขนานเดียวที่ช่วยดับความเจ็บปวด เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ซึ่งช่วยให้ไม่เป็นบ้า เป็นยาที่ช่วยให้ต่อสู้ได้แต่พวกคุณก็ไม่อาจเป็นอิสระได้ต่อไป มันเผาไหม้ทั้งชีวิตของพวกคุณ ทำให้ชีวิตมีแต่ผี การจะอยู่รอดจากสงครามนานสี่ปีได้นั้นพวกคุณก็ต้องเผาไหม้ทั้งชีวิต…”

โลกใหม่ที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในมือของมนุษย์ที่มีนรกเผาไหม้อยู่ในวิญญาณ โลกใหม่ไม่อาจเกิดขึ้นจากความแค้น เลือดเนื้อ และซากปรักหักพังเปื่อยผุ ดังนี้แล้ว นอกจากรสทางวรรณกรรมที่ได้ Senza sangue หรือไร้เลือด ยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นนรกอันเกิดจากสงครามที่อุบัติขึ้นจากความแค้นในใจของมนุษย์ ให้มนุษ์ตระหนักรู้ถึงนรกในใจตน รวมถึงเป็นคำเชื้อเชิญ และวิงวอนเพื่อนมนุษย์ทุกผู้ทุกนามให้ยุติสงครามในใจตนนั้น แล้วร่วมสร้างโลกใหม่ด้วยความเมตตาโดยไร้เลือด..

ในตัวบทชายชราได้ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและตระหนักแจ้งในกรรมของตน เขาพร้อมถ้าจะต้องถูกฆ่าโดยนีนาขณะรำพึงกับตัวเองว่า

“สงครามจบสิ้นแล้ว”

แล้วสงครามของเราเล่า…จบสิ้นแล้วหรือยัง ?

 

 

You may also like...