วิกรม กรมดิษฐ์

วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด ตัวตนของวิกรม กรมดิษฐ์เป็นอย่างไร ทำไมที่ผ่านมาถึงออกมาเปิดเปลือยชีวิตตัวเองขนาดนี้

การที่ผมเลือกเปลือยชีวิตตัวเอง เพราะผมอยากให้สังคมไทยหันมาพิจารณาความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมเราว่าเรามีความผิดพลาดบกพร่องอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพียงแต่เราฝังกลบหรือทำเป็นมองข้ามมันซะ หรือ หมก กลบ แอบ เราหันหน้าหาแต่สิ่งที่สวยงาม มีแต่เปลือกไม่เอาข้อเท็จจริงความจริงมาคุยกัน บางพวกก็หน้าไว้หลังหลอก

ผมอยากบอกว่านี่คือ ‘ ของปลอม ‘ ทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงเลือกกะเทาะเปลือกตัวเองให้คนอื่นๆ ได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่เขาบ้าง เป็นอุทาหรณ์ เพราะตัวเองหลังจาก 50 ปีแล้วก็คิดว่าอยากจะพูดในสิ่งที่ไม่เคยพูด

เน้น! ผมไม่ต้องการประจานพ่อ นี่คือความผิดพลาดและการจัดการแก้ปัญหาในชีวิตผมทั้งหมดเท่าที่ผ่านมาก็เท่านั้น บ้านเราไม่ค่อยชอบความจริง เราเหมารวมและมองอะไรอย่างผิวเผิน นี่คงเป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ทำให้เราอาจต้องหันมาวิเคราะห์ตัวตนของคนในสังคมกันให้มากขึ้น

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปหมดการนำเสนอรูปแบบในหนังสือ ‘ ผมจะเป็นคนดี ‘ เป็นข้อเท็จจริงที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องแท้จริง ไม่มีการใส่สีตีไข่หรือทำให้ตัวเองดูดีแต่ประการใด ผมไม่ต้องการสิ่งนั้น

จดหมายที่เขามาสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เรามีคนที่ตกอยู่ในความทุกข์คล้าย ๆ กันหรือที่เรียกว่า หัวอกเดียวกันอยู่มาก ตรงนี้ต่างหากที่ผมว่ามันเป็นพลัง ที่จะช่วยขับเคลื่อนทำให้ให้คนที่โชคร้ายคิดว่าตัวเองโชคดีเพราะเมื่อมองดูชีวิตคนอื่นๆ บ้างเราจะเห็นว่าการเดินทางมาถึงวันนี้นั้นดีที่สุดแล้ว ต้องทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ให้กำลังใจตัวเอง การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางความคิดมากเกินไปไม่ดีไม่เกิดประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม

ผมว่าครอบครัวผมคงจะทำให้ครอบครัวอื่นๆ เกิดประโยชน์ได้บ้างก็เท่านั้นเองแม้ว่าครอบครัวผมจะเจ็บปวด ผมอยากเห็นสังคมเราดีกว่าเมื่อวานนี้ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง

วันนี้กับการทำงานเพื่อสังคม

เหตุผลที่ตั้งมูลนิธิขึ้นมาเมื่อ 7 ปีกว่ามาแล้วก็คงเริ่มมาจากความสนใจของผมเองก่อนว่าผมสนใจเรื่อง ของสิ่งแวดล้อม การศึกษา กีฬา ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุประสงค์หลักมูลนิธิ เป็นการวางแผนไว้ตั้งแต่ในอดีต ว่าเงินส่วนที่เหลือจากการทำงานและการใช้สอยส่วนตัวแล้วจะต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านมูลนิธิ ผมไม่ได้เปิดรับบริจาคนะ เงินที่ใช้ในมูลนิธิเป็นเงินส่วนตัว เงินจากครอบครัวกรมดิษฐ์เท่านั้น เป็นการทำให้กับครอบครัว องค์กรในเรื่องการช่วยเหลือสังคมในสิ่งที่เราสนใจนอกเหนือไปจากการทำธุรกิจ

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างคนด้วยความรู้ ประเทศที่มีคนมีความรู้มากก็เหมือนกับ มีอาวุธทางปัญญามาก จะทำให้ประเทศนั้นเจริญรุ่งเรือง บ้านเราก็เหมือนกัน ค่อยๆ ทำไป ผมว่ามันก็จะต้องดีขึ้น แต่ไม่ใช่แค่พวกดีแต่ปากแล้วไม่ได้ทำให้เห็นอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เมื่อผมสนใจผมก็ต้องลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ทุกอย่างเริ่มจากตัวเรา เองก่อนทั้งนั้น แล้วจึงค่อยๆ มีแนวร่วมมาเองเด็กคือกระดูกสันหลังของประเทศชาติเราต้องให้ความสำคัญ จริงจังในการช่วยเหลือวางอนาคตที่ดีให้กับเขา สังคมเราก็จะดีขึ้น ก้าวพ้นจากความยากจน ปัญหาสังคมต่างๆ ก็จะลดน้อยลง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมทำหนังสือ ‘ ผมจะเป็นคนดี ‘ ออกมาเพราะเรามุ่งไปที่แจกให้กับเด็กนักเรียน นักศึกษา ผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ คนพิการผู้ด้อยโอกาส พิมพ์ครั้งแรก 130,000 เล่ม และนี่กำลังจะพิมพ์ครั้งที่สอง 70,000 เล่ม เป็นหนังสือที่ขายดีนะ ติดอันดับอยู่เรื่อยๆ ผมว่าไม่ใช่หนังสือประเภทดังตามแฟชั่นหรอก แต่ด้วยความ น่าสนใจของหนังสือเอง ( ยิ้ม ) คนเขาก็คงอยากรู้ว่านายวิกรม นี่เป็นอย่างไร อย่างที่บอกมีคนพูดกัน มากหลังจากอ่านหนังสือว่า ผมมันเป็นคนประเภท ‘ หน้าชื่นอกตรม ‘ ก็เวลาเจอใครผมว่ามันไม่ค่อยถูกเรื่องนะที่เอาความทุกข์ของเราไปให้คนอื่นรับรู้

หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการนำความผิดพลาดต่างๆ ในชีวิตของผมและครอบครัวมาตีแผ่ ย้ำ! ไม่ใช่ประจาน แต่เพื่อให้คนอื่นได้เกิดประโยชน์ ผมและครอบครัวยอมเจ็บครั้งเดียวเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ ผมว่ามันคุ้มค่านะ แม้ว่ามันจะเป็นการเปิดแผลที่ค่อนข้างเจ็บปวดก็ตาม แต่เมื่อมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมแล้วก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะสังคมไทยเรายังมีอะไรอีกมากมายที่ฝังกลบ กลบเกลื่อน หมักหมมเอาไว้ให้เราเห็นแต่เพียงด้านดี เราขาดการวิเคราะห์ในเชิงลึก เรายังมองคนแต่เพียงผิวเผิน เชื่อไหมคุณ แม้แต่น้องเขย น้องสะใภ้ เพื่อนสนิทของผม ยังไม่เคยมีใครรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน จะมีก็แต่เพียงพี่น้องในครอบครัว ญาติสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

แต่พอเปิดแล้วก็เป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจกันมากอย่างไม่น่าเชื่อ วันหนึ่งๆ ผมได้รับจดหมายเข้ามาบอกเล่าความทุกข์ แสดงความคิดเห็น ส่วนมากก็จะเล่าประสบ การณ์ ของเขาให้ฟังว่าเขาก็มีความทุกข์คล้ายกับผมนั่นแหละ เรื่องพ่อ – แม่ สิ่งเหล่านี้เป็นความเก็บกดในสังคมไทย หรืออาจรวมสังคมเอเชีย ด้วยส่วนหนึ่ง ผมเพียงแต่ต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับเด็ก พ่อแม่ ครอบครัว ผู้ที่เคยผิดพลาด ผิดหวัง ท้อแท้ รวมไปถึงนักบริหาร นักการเมือง ข้าราชการ ผมไม่ได้มีความหวังว่าจะต้องได้อะไรเป็นการตอบแทนเลย รางวัล ชื่อเสียง ลาภยศสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมมีพอแล้ว แต่ผมทำแล้วมีความสุข

ดังนั้นเรื่องการทำหนังสือจึงเป็นเรื่องที่มูลนิธิเราจริงจังมาก เพราะเราหวังว่า หากเราเริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา แห่งความเข้าใจในตัวเอง เสียแต่วันนี้แล้ว วันหน้าเราก็จะได้ต้นไม้ที่แข็งแรง เติบโตอย่างสง่างาม ไม่เป็นภาระให้กับตนเอง หรือสังคม ตลอดจนสังคมโลกเลย

แน่นอนที่สุด ผมมีความฝันอยากให้สังคมของเราสงบสุขเต็มไปด้วยความรัก ความเอื้ออาทร ไม่สร้างปัญหาให้แก่กัน คนมีทั้งความรู้ ความเข้าใจในการดำรงชีวิตอย่างสมบูรณ์

หลังจากที่หนังสือออกมาแล้วสายตาคนอื่นที่มองกลับมาสู่ตัวเราเป็นอย่างไร

แน่นอนการเปิดเผยตัวตนย่อมมีทั้งข้อดี – ข้อเสีย เพียงแต่ว่าเราเตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างไร ผมไม่ได้มีความความหวังจะเป็นฮีโร่ในดวงใจของใคร หรือเป็นซุปเปอร์แมน ผมคือผู้ชายธรรมดา บางคนรู้จักผมในฐานะนักธุรกิจ เขาก็มองผมอีกแบบหนึ่ง บางคนอาจไม่รู้จักผมเลยแต่มาอ่านหนังสือผม เขาก็จะรู้สึกอีกแบบ มันเป็นชีวิตที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้อย่างจริงใจ เป็นตัวแทนบอกเล่าความรู้สึกที่เจ็บปวด มันชีวิตมันก็มีหลายรส ผมไม่เคยบอกเล่าอดีตของผมให้ใครรู้เลย แต่พอเปิดมันก็หมดเปลือก และเราก็ต้ององอาจรับผลกระทบของมันไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร นี่คือตัวผมไม่ใช่ใคร ผมต้องยืดอกรับมัน ผมไม่เคยกลัวเพราะผมไม่ได้อยากได้อะไรนี่

หลายๆ คนเปลี่ยนความรู้สึกที่เคยมองผม หรือที่เรียก ‘ หน้าชื่นอกตรม ‘ ก็ผมไม่อยากเอาความทุกข์ ขมขื่นของผมไปบอกให้ใครรู้ แต่ละคนเขาก็มีเรื่องราวให้ขบคิดกันมากพออยู่แล้ว เมื่อมาเจอกันก็สมควรยิ้มแย้มเข้าหากันดีกว่า ผมไม่ชอบให้ใครมาสมเพชหรือเห็นอกเห็นใจว่าผมน่าสงสารผมดูแลตัวเองได้ดี

ผมเป็นคนอึดทะลวงโลก ( หัวเราะ) อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค ผมไม่เคยท้อถอย ผมให้กำลังใจตัวเองเสมอ อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเป็นการแสดงออกตัวตนของผมอย่างแท้จริง หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการ ‘ ไถ่บาป ‘ ก็ว่าได้ ชีวิตคนเรามันเลือกที่จะทำได้ เรามีสิทธิ์ แต่ความเจ็บปวดก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เราต้องมองมันให้ออกรู้เท่าทัน มีสติ แล้วเราก็จะสามารถแปรเปลี่ยนความทุกข์ยากเหล่านั้นให้เป็นพลังได้ จงรู้จักมองหาความสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์ แล้วคุณจะมีทางออกสำหรับทุกปัญหา

ผมดำเนินชีวิตของผมด้วยสติ ปัญญา อย่างรอบคอบ ผมไม่ใช่คนเรื่อยเปื่อย ดูภายนอกอาจเห็นว่าผมเป็นคนสนุกสนาน รื่นเริง แต่เมื่อทำงานก็จะต้องจริงจังกับมัน และมีเหตุผลบนความเป็นจริง นี่คือชีวิต

อยากให้พูดถึงงานมูลนิธิบ้างในส่วนของศิลปะ

มูลนิธิอมตะได้จัดให้มีการประกวดศิลปกรรม ‘ อมตะ อาร์ต จีเนียส อวอร์ด ‘ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว 2547 เป็นการจัดประกวดสองประเภทคือ จิตรกรรมและประติมากรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการทำงานของศิลปินให้สร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ เพราะในอนาคตทางมูลนิธิกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างศูนย์แสดงศิลปกรรมแห่งสุวรรณภูมิที่ตั้งชื่อว่า ‘ อมตะ คาสเซิ่ล ‘ ตั้งอยู่ ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ได้พบกับ อ.ชูศักดิ์ วิษณุคำรณ ศิลปินอาวุโสที่ช่วยประสานงานจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานประกวด ซึ่งประกอบไปด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่นมหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ได้ทางเพาะช่าง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วยกันเป็นคณะกรรมการดำเนินงานและรวมทั้งคณะกรรมการตัดสินให้ด้วย ได้ศิลปินแห่งชาติอย่างท่านอาจารย์ชำเรือง วิเชียรเขตต์ อาจารย์พิชัย นิรันด์ มาร่วมเป็นตัดสิน

ที่มาที่ไปของรางวัลอมตะอวอร์ดเป็นมาอย่างไร

การดำเนินการในครั้งแรกเมื่อมกราคมปีที่แล้ว ผู้อำนวยการกองศิลปวัฒนธรรมของมูลนิธิฯเขาก็ดำเนินการมาเรื่อยนะ..ประชุมคณะกรรมการ เพราะผมก็สนับสนุนด้วยการให้งบประมาณการจัดงานทั้งสิ้นห้าล้านบาท นับว่าเป็นงานค่อนข้างใหญ่นะ เราทำเป็นครั้งแรก เราก็อยากทำให้ดี

ดำเนินการประชาสัมพันธ์กันมาเรื่อย จนถึงกำหนดส่งผลงานช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และทำการตัดสินเมื่อปลายเดือนธันวาคมและจนประกาศรางวัลไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา จัดแถลงข่าวที่ตึกอมตะ เซอร์วิส นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี นอกจากนี้เรายังจัดนิทรรศการต่อเนื่องให้กับผู้ที่อยู่บริเวณชลบุรี ภาคตะวันออกได้เข้าชมนิทรรศการผลงานทั้งหมด ซึ่งมีเกือบ 400 ชิ้น เป็นงานประติมากรรม 56 ชิ้นและจิตรกรรม 311 ชิ้น รวมผลงานของคณะกรรมการตัดสินร่วมแสดงด้วย จัดแสดงไปเกือบเดือน ได้รับความสนใจจากประชาชน นักเรียนดีพอสมควร

นอกจากนี้ทางคณะทำงานจะทำการจัดนิทรรศการสำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 15 ชิ้นแบ่งเป็นจิตรกรรม 9 ชิ้น และประติมากรรม 6 ชิ้น รวมผลงานของคณะกรรมการตัดสินอีก พร้อมกับผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดง ที่หอศิลปเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ เริ่มงานวันที่ 12 มีนาคม ถึงวันที่ 9 เมษายน 2548 งานนี้จะมีผลงานทั้งหมดร้อยกว่าชิ้น จะมีพิธีเปิดงานนิทรรศการในวันที่ 17 มีนาคมศกนี้

เราจะจัดให้มีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 21 มีนาคม ณ ห้องเพลนารี่ฮอล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ศิลปินที่ได้รับรางวัลนะ เพราะปีนี้ไม่มีที่หนึ่งของสาขาจิตรกรรม เราก็เลยนำเงินนั้นมาให้เป็นรางวัลเป็นรางวัลที่สองหนึ่งรางวัลนอกนั้นอีกแปดรางวัลเป็นที่สามทั้งหมด ( รางวัลละ 100,000 บาท ) ส่วนประติมากรรมมีครบทั้ง 6 รางวัล

การมอบรางวัลอมตะอวอร์ดจะก่อให้เกิดอะไรต่อสังคมวงกว้างบ้าง

ทางมูลนิธิเราหวังว่ารางวัลนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงเทียนที่จะช่วยจุดประกายความสว่างไสวให้แก่วงการศิลปะ เพราะความต้องการของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เราต้องการจะก่อให้เกิดการรวมตัวของศิลปะในภาคพื้นสุวรรณภูมิต่อไปด้วย ใครไปใครมาเที่ยวบ้านเราจะได้ภาคภูมิใจว่า เรามีของดีที่สามารถโชว์ให้เขาดูได้ว่าเราก็มีวัฒนธรรม รักในศิลปะ เพราะศิลปะคือรากฐานของการดำรงชีวิตมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยที่สืบต่อเป็นหลักฐาน ยืนยาวกว่าชีวิตเรามาก เมื่อเราตายแต่งานของเรายังคงอยู่

เราเห็นประโยชน์ตรงนั้น ‘ อมตะ คาสเซิ่ล ‘ ก็จะเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปินทั้งในประเทศและภาคพื้นเอเซียอาคเนย์นี้ในอนาคต นี่คือสิ่งที่ผมวางเป้าหมายไว้

ผมระลึกอยู่เสมอว่า เราต้องให้การสนับสนุนคนเก่ง คนดี ให้เขาได้มีเวทีแสดงฝีมือ เราควรช่วยเหลือเขา เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่าจำนวนผู้เสพศิลป์ในบ้านเรานั้นมีไม่มาก จะว่าไปแล้วผมไม่ใช่คนสะสมรูปภาพหรืองานศิลปะอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมเห็นว่าศิลปินต้องทำงานหนักกว่าจะผลิตงานออกมาได้แต่ละชิ้น ใช้ทั้งแรงกาย แรงใจ และข้อสำคัญคือกำลังทรัพย์ ในเมื่อเราสามารถสนับสนุนได้เราก็ควรทำ เพราะตายไปเราก็เอาเงินไปด้วยไมได้ มีโครงการดีๆ อีกมากนอกจากนี้ยังมีโครงการอมตะ ‘ ไรเตอร์ จีเนียส อวอร์ด ‘ ครั้งที่ 1 เป็นการให้รางวัลแก่นักเขียนด้วย ในอนาคตคงปีนี้กระมัง วางแผนไว้แล้วจะทำ ‘ อมตะ มิวสิค จีเนียส อวอร์ด ‘ จะทำให้เป็นเหมือนแพทเทิร์นนะ ‘ อมตะจีเนียส อวอร์ด ‘

อ้อ แล้วผมก็จะให้รางวัลสนับสนุนคนดี ตำรวจดีด้วยนะ โอ๊ย! มีหลายเรื่อง แค่คิดก็สนุกแล้ว ผมมอบนโยบายให้ลูกน้องผมเขาไปสานต่อทำงานกัน อย่างน้อยๆ มันก็ขับเคลื่อนไปได้ดี

การทำงานด้านนี้อุปสรรคสำหรับตัวผมไม่มีนะ แต่ทีมงานคงมีบ้างเพราะยังใหม่ เราก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้ ส่วนมากน่าจะเป็นเรื่องของการวางแผนงบประมาณ และการประชาสัมพันธ์มากกว่า ว่าจะทำอย่างไรให้คนรู้จักมูลนิธิอมตะว่าเราทำอะไร มีอะไรน่าสนใจมาก เพราะผมไม่ได้เปิดรับการบริจาค ก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ แต่ผมว่าพอผ่านปีแรกไปได้ ทุกอย่างการวางแผน การทำงานคงจะดีขึ้นมาก เข้าที่เข้าทางเพราะมีประสบการณ์มากขึ้น ผมวางนโยบายไว้ว่าให้ทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยห้าถึงสิบปีเพื่อให้เกิดผลชัดเจน เกิดพัฒนาการต่อวงการศิลปะและการศึกษา

นี่คือหัวใจและจุดมุ่งหมายของการทำงานของมูลนิธิไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดใดๆ ก็ตามการประกวดเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มีส่วนอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนมากมาย มันกระเพื่อมและส่งผลถึงกันไปหมดนะ คราวนี้ก็คงเหมือนเป็นการต้อนรับน้องใหม่ อย่างมูลนิธิอมตะ เข้าสู่วงการศิลปะ

งานศิลปะที่คุณวิกรม สะสมมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

แต่สำหรับตัวผมก็ยังเหมือนเดิม ผมไม่ได้สะสมงานของศิลปินท่านใดเป็นพิเศษ เพราะส่วนมากความสนใจของผมอยู่ที่ของเก่า – วัตถุโบราณมากกว่าและก็ไม่ได้จำกัดประเภทเสียด้วย พระพุทธรูป ตั่ง ซามูไร นาฬิกา สารพัด มีคนชอบถามนะว่าผมเน้นอะไรเป็นพิเศษ คำตอบคือ ไม่มี ( ยิ้ม )

หากเป็นไปได้คุณวิกรมต้องการเป็นคนหนึ่งที่ถูกพูดถึงในหน้าประวัติศาสตร์หรือไม่อย่างไร

แน่นอนว่า การทำงานทางด้านศิลปะโดยที่เราเปิดตัวไปขนาดนี้ ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งแน่นอน เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ผมไม่ได้สนใจลาภยศ สรรเสริญ เหรียญตราหรือรางวัลใดๆ ผมทำเพราะผมชอบ รักที่จะทำ สนุกกับมัน หรืออาจเรียกว่าเอ็นจอยการใช้เงินมาก ดังนั้นการจะถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์อีกในอนาคตหรือไม่ ผมอาจไม่มีวันอยู่ดูถึง แต่ผมเชื่อมั่นว่าคงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เราต้องการทำนั้นมันค่อนข้างพิเศษ ‘ อมตะ คาสเซิ่ล ‘ จะเป็นปราสาทหินทราย แกะสลัก พื้นที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร ผมตั้งใจว่าพื้นและผนังจะแกะเป็นอินเล ( เทคนิกแบบอินเดีย ) ตอนนี้กำลังศึกษาออกแบบอยู่ เริ่มตอกเสาเข็มไปบ้างแล้ว คาดว่าเสร็จสมบูรณ์ไม่น่าเกินอีกสิบปี

มีคนมองการทำงานด้านศิลปะของคุณในแง่ลบหรือไม่

การที่คนจะมองผมในแง่ลบหรือไม่อย่างไร ผมไม่แน่ใจ ผมจะสดับตรับฟังคนอื่นๆเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องเชื่อคนอื่นๆ ไปเสียหมด อย่างน้อยการที่ผมประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะวิสัยทัศน์ ความเชื่อ ความรู้ ประสบการณ์ที่หล่อหลอมผม ผมต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำนั้นไม่ได้ก่อผลร้ายกับใครดังนั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องเกรงกลัว เพราะความจริงก็คือความจริงว่า ผมทำเพราะผมไมได้หวังผลตอบแทน ผมทำเพื่อต้องการเห็นสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้น.เรื่องอื่นๆ เป็นผลพลอยได้ต่างหาก

ทุกวันนี้ผมมีกินมีใช้ มีชีวิตที่ดีมากแล้ว อยากจะทำอะไรก็ได้ทำผมไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ผมควรตอบแทนบุญคุณให้แผ่นดินแม่ก็เท่านั้นเอง

ชื่นชอบศิลปะประเภทไหนมากที่สุด

สำหรับงานศิลปะที่ชื่นชอบ ผมคงชอบงานบรอนซ์ งานแกะสลักหิน แต่อย่างที่บอกไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ชอบเพราะสวยงาม แต่ไม่ได้จำเป็นต้องเก่าหรือแพงเสมอไป ชอบสไตล์มากกว่า เป็นของทำเทียมก็ชอบ ไม่ใช่ปัญหาอะไร

ทำงานศิลปะเองด้วยหรือเปล่า

ผมไม่ได้ทำงานศิลปะเอง แต่ถ้าจะรวมว่าการออกแบบอมตะ คาสเซิ่ลเป็นงานศิลปะทางด้านสถาปัตย์ก็น่าจะได้ ผมออกแบบตามที่ผมฝัน เพราะจะเป็นที่ที่ผมจะฝังตัวอยู่ที่นี่ผมก็ควรจะมีส่วนร่วมจริงหรือไม่

มองงานและคนทำงานศิลปะบ้านเราเป็นอย่างไรในปัจจุบัน

งานศิลปะในบ้านเราผมว่า ศิลปินเองก็พยายามพัฒนาฝีมือนะ แต่ต้องยอมรับว่าคนเสพงานศิลปะบ้านเรามีจำกัด มีน้อย นั่นเป็นเพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจและความเข้าใจ ตลอดจนความสนใจของบ้านเรายังไม่ดีทัดเทียมกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป อเมริกาหรือแม้แต่ญี่ปุ่น ส่วนจีนตอนนี้กำลังเป็นน้องใหม่ ไฟแรง ผมว่าคนไปมองว่าศิลปะจะต้องมีราคาสูง เป็นสิ่งที่คนชนชั้นล่าง – กลาง จับต้องได้ยาก เป็นสิ่งที่สะท้อนรสนิยมของคนมีอันจะกิน หรือคนชั้นสูงในสังคมมากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงถูก แต่จริง ๆ นั้นไม่ทั้งหมด อันที่จริงผู้บริหารบ้านเราต้องเข้าใจว่า การมีพิพิธภัณฑ์คือจิตวิญญาณและหน้าตาของประเทศ มันไม่ได้ก่อให้เกิดกำไรมากมาย แต่มันแสดงถึงการสั่งสมความรู้ วัฒนธรรมของคนในชาติ เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้อนาคตไม่ผิดพลาด ดังนั้นพิพิธภัณฑ์จึงเป็นเรื่องของการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากกว่า เราต้องมีสถานที่เหล่านี้

นี่จึงเป็นเหตุให้มูลนิธิอมตะให้ความสนใจและสำคัญ เราต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ในบ้านเราในเมื่อรัฐไม่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เราเป็นเอกชนพอทำได้เราก็จะต้องช่วยกันทำและทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเท่ากับว่าเราเริ่มก้าวเข้ามาแล้ว นับหนึ่งและคงนับต่อไปเรื่อยๆ ผมมองว่าต่อไปมูลนิธิอมตะจะต้องมีมืออาชีพจากชนชาติใดในโลกนี้ก็ได้มาบริหาร เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล เราจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์ดีๆ เกิดขึ้น

แนวโน้มงานศิลปะด้านเราจะเป็นอย่างไร

งานศิลปะในบ้านเราคงเป็นเรื่องที่ต้องประนีประนอมกับรสนิยมของผู้สะสมงานอยู่บ้าง ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะงานศิลปะไม่ใช่งานที่มีปริมาณมาก( Mass ) งานทุกชิ้นเป็นงานปัจเจก( Unique ) แต่ศิลปินก็พยายามที่จะทำงานแล้วขายงานให้ได้ บ้านเรามีไม่มากนักหรอกที่จะมีศิลปินที่ไม่ต้องสนใจใคร นับนิ้วดูได้ผมว่ามีไม่ถึงสิบคน แต่นั่นก็คงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะงานศิลปะไม่ว่าสาขาใด เป็นการยกระดับจิตใจของมนุษย์ในชาติอยู่แล้ว

ผมก็เชื่อนะว่าจะมีพัฒนาการที่ดีอย่างแน่นอน แต่ข้อสำคัญเราต้องช่วยกัน บ้านเรามีข้อเสียอยู่อย่างเราทำงานแบบตัวใครตัวมันพอสมควร เราอีโก้แรง( อัตตา ) ดังนั้นเราจึงทำอะไรไม่ค่อยได้ไกล แค่ทำได้ดีในระดับของเราเท่านั้น..ผมบอกลูกน้องเสมอๆ ว่า ‘ โต๊ะต้องมีหลายขา ‘ การทำงานก็เช่นกัน ช่วยกันระดมสมอง ระดมความคิด เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย จึงไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้
——————————————————————————–

ที่มา : นิตยสาร HI-CLASS
ข้อเขียนนี้ เป็นลิขสิทธิ์ของนิตยสาร  HI-CLASS  ห้ามนำไปลอกเลียน ทำซ้ำ หรือ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

You may also like...