เด็ดดอกไม้ ย่อมสะเทือนถึงดวงดาว คำกล่าวนี้ไม่เคยเกินความจริง เวลาที่เราลงมือทำอะไรซักอย่าง มันมีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าวันนี้มันเดินทางไปสู่ขั้นวิกฤตอย่างแน่นอน
ประเทศเราโชคดีที่ยังมีคนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายที่มา แต่มีความตั้งใจอย่างเดียวกัน คืออยากช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ชะลอความเสื่อมออกไปให้นาน หวังเพื่อให้รุ่นลูกหลานบาดเจ็บน้อยลง โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” จึงเกิดขึ้นจาก เชฟรอนประเทศไทย จับมือ “สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง” และ “มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ” สร้างกิจกรรมนำร่องเดินทางเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา 9 วัน ซึ่งมีพลังคนไทยจิตอาสาเข้าร่วมมากกว่า 2,000 คน ผลสรุปการดำเนินโครงการ ตลอด 9 วันของการเดินทางเรียนรู้ศาสตร์พระราชาในการบริหารจัดการน้ำ จากปลายน้ำสู่ต้นน้ำ เพื่อเรียนรู้จากสถานที่จริงและลงมือปฏิบัติจริงในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างยั่งยืน
นับว่าเป็นความร่วมมือและกระแสตอบรับที่ดียิ่งจากประชาชนคนไทย โดยเฉพาะคนจิตอาสาที่เข้าร่วมขบวนเดินทางทั้ง 9 วัน กว่า 2,000 คน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชนและเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นตลอดเส้นทางที่เข้าร่วมเพื่อรับทราบถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขของพื้นที่ตนเอง จนทำให้มีชาวบ้านกว่า 300 ครัวเรือน ลงรายชื่อยืนยันที่จะนำโมเดล โคก หนอง นา ไปใช้ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ทางเราและสถาบันตั้งไว้ที่ 100 ครัวเรือน นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมโครงการต่างๆ โดยเฉพาะพนักงานของเชฟรอนเอง ต่างเห็นด้วยกับกิจกรรมในครั้งนี้ และกล่าวว่าได้รับความรู้ในเรื่องของการจัดการน้ำ หลักเศรษฐกิจพอเพียง และหลักกสิกรรมธรรมชาติ ทั้งยังได้ลงมือปฏิบัติด้วย เชฟรอนเองจึงเชื่อมั่นว่าโครงการฯ นี้ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาการจัดการน้ำได้ หากมีการสานต่อการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
เราได้คุยกับ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออาจารย์ยักษ์ ถึงที่มาที่ไปของมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และเหตุผลที่ทุกคนควรออกมาร่วมมือช่วยกันทำให้สิ่งแวดล้อมมันดีขึ้น
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ตั้งขึ้นจากความเชื่อความศรัทธา ความพยายามจะหาทางออกให้กับลูกหลานของสังคมไทย โดยเฉพาะปรัชญาของพุทธกับปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลุ่มพวกเราที่ไปทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลุ่มหนึ่ง และกลุ่มที่เป็นพระสงฆ์นักพัฒนาที่เชื่อในแนวทางนี้มารวมกัน
เดิมเป็นชมรมชื่อ “ชมรมกสิกรรมธรรมชาติ” เพราะเราเชื่อว่าอารยธรรมของชาวนา วิถีกสิกรรม เป็นวิถีที่มั่งคั่ง สังคมไทยใครในโลกมาก็มีกิน คุณจะเข้าไปบ้านไหนก็ได้มีที่กินฟรี นอนฟรี มันเป็นอารยธรรมที่เอื้อเฟื้อ เหมือนยุคพระศรีอริยเมตไตรย์ในฝัน ผมเกิดเติบโตที่ชนบท เห็นชัดเลยคนในชนบท มีอารยธรรมของชาวนาไม่เอาเงินเอาทอง ไม่เห็นแก่เงิน เป็นวัฒนธรรมของคนมีใจที่เป็นบุญเป็นทาน แล้วเค้าก็มีความมั่งคั่งในเรื่องของกิน ทุกบ้านมียุ้งข้าว มีข้าวเต็มยุ้ง ปิดเทอมทีนึงพวกเพื่อนๆที่มาเรียนหนังสือจากกรุงเทพ อยู่ใต้สุด เหนือสุด อีสานสุด กลับบ้านไม่ไหวไม่มีตังค์ ก็มาเฮโลอาศัยกินอยู่บ้านผม อยู่กันซัมเมอร์นึงสองสามเดือนสบายมาก พ่อแม่บอกมาเลยมีข้าวทั้งยุ้งเลี้ยงคนสิบยี่สิบคนได้หลายเดือน
สิ่งเหล่านี้ผมไม่อยากเรียกว่าวัฒนธรรม ผมอยากเรียกว่าอารยธรรม ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินเราตรัสย้ำแล้วย้ำอีกว่า บรรพบุรุษท่านทำไว้ดีแล้ว สังคมแบบนี้ อารยธรรมแบบนี้ มีวัดเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม มีโรงเรียนอยู่กับวัด มีชาวบ้านรายล้อม เป็นคนสร้างวัดสร้างโรงเรียนขึ้นมา ใช้เป็นที่อบรมบ่มเพาะลูกหลาน กุลบุตรกุลธิดาให้เป็นคนดีก่อนมีความรู้ความสามารถ มีอาชีพ เป็นครู เป็นคลัง วัดเป็นที่สร้างครู วัดเป็นคลังมหาสมบัติของคนทั้งชุมชน วัดเป็นที่สร้างช่าง วัดเป็นที่สร้างหมอ เจ็บป่วยก็รักษาดูแลกัน วัดเป็นที่นอนของคนป่วย วัดเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง นี่คือที่สิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้พยายามบอก แต่คนไทยเฉย ไม่มีใครรู้สึกอะไรเลย จึงไปตั้งโรงเรียนกระชากคน กระชากสังคม จัดระบบการศึกษาออกจากวัด แล้วก็มาตั้งโรงเรียนแข่งกับวัด กลายเป็น ผอ. โรงเรียนใหญ่โตขึ้นมา ไม่ถูกกับเจ้าอาวาสแล้วก็ไปดึงออกมา ประกาศออกกฎหมายดึงการศึกษาออกจากวัด แถมประกาศ เปลี่ยนวัดหยุดเป็นแบบคริสแทนที่จะไปหยุดแบบพุทธ วันโกน วันพระ ยกเว้นภาคใต้เพราะกลัวเขา
นี่คือสิ่งที่ข้าราชการพยายามจะทำ พระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ก็เพียรพยามบอก แต่ท่านไม่มีอำนาจ พระเจ้าแผ่นดินนี้ไม่มีอำนาจที่จะไปบอก ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งว่าเมืองไทยจะทำแบบนี้ไม่ได้ ท่านก็ได้แต่แนะนำ เพราะท่านเป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตย ท่านได้แต่แนะนำ ได้แต่แสดงพระราชดำริ บอก คิด ได้เท่านั้น สั่งไม่ได้ กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะไปสั่งได้ไง ไม่ใช่พระบรมราชโองการ เป็นพระราชดำริ เพราะฉะนั้นพระราชดำริรัฐบาลเค้ามีอำนาจ เค้าจะเอาไปทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ นี่คือสิ่งที่มีในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ แล้วคนก็เอาไปพูดไปเขียนกันเต็มไปหมด “บวร” การพัฒนาต้องไม่ทิ้งวัด ต้องบวร บ้าน วัด โรงเรียน ไหนล่ะ ใครทำล่ะ กระทรวงไหนทำ กระทรวงเกษตรทำไหม กระทรวงมหาดไทยทำไหม กระทรวงศึกษาธิการทำไหม กระทรวงศึกษาธิการนี่แหล่ะตัวดี ออกกฏหมายบังคับเด็กเข้าไปขังไว้ในโรงเรียนของตัวเอง แล้วไปดัดสันดานจนเสียคนหมด ทำอะไรก็ไร้วินัย ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่รู้ตัวเองมีจุดเด่นอะไร แถมอกตัญญูต่อพ่อแม่ ต่อแผ่นดินเกิด จัดการศึกษาแบบนี้บ้านเมืองจึงฉิบหาย ไม่รู้จักแผ่นดินเกิดตัวเอง เติบโตมา วิ่งเล่นมา ระบบอย่างนี้มันไปไม่รอด เราเชื่อว่ามันจะต้องมีองค์กรขึ้น คนที่จะต้องเฮโลตามกำลัง คนร่ำรวยมั่งคั่งมันกระจุกตัวอยู่ เรียกว่ารวยกระจุก จนกระจายไปทั้งโลก เมืองไทยคนรวยกระจุกตัวอยู่สักกี่คน นอกนั้นก็เป็นคนจนกระจายทั่วถึงไปหมด ทรัพยากรก็ไม่เหลืออะไรเลย เพราะคุณพัฒนาประเทศกันเป็นแบบนี้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวองค์นี้หยิบขึ้นมาสอนตอกย้ำลงไป ต้องรีบเอามาปฏิบัติ เราหวังพึ่งกลไกของรัฐไม่ได้ก็เห็นอยู่ทนโท่ กระทรวงศึกษาธิการก็เหลวไหลอยู่ทุกวันนี้ กระทรวงเกษตรก็พาเกษตรกรพังพินาศหมด กระทรวงไหนล่ะ หน่วยงานของรัฐมีแต่ทำลายทั้งนั้น ก็เลยต้องตั้งหน่วยงานที่เป็น volunteer organizations เป็น VO จะเรียกว่า NGO เค้าก็ไม่อาจยอมรับว่าเป็น แต่เราเป็น VO เป็นองค์กรอาสาสมัครที่คนศรัทธาในพุทธ ศรัทธาพระพุทธเจ้า ศรัทธาในศาสนาของตัวเอง ศรัทธาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาร่วมกันทำเป็นชมรม จดทะเบียนขึ้นเป็นมูลนิธิ 2 มูลนิธิ ชื่อมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ แล้วก็มูลนิธิเศรษฐกิจพอเพียง
ผมทำมาตั้งแต่ปี 2540 แต่ปี 39 ก็เริ่มๆแล้ว ใช้เวลาวันหยุด เป็นชาวนาวันหยุด เป็นชาวป่าวันหยุด มาตั้งแต่ปี 2526 จนวันนี้ก็สามสิบกว่าปีแล้ว ถ้างาน 2 มูลนิธิเริ่มจากผมคนเดียวก่อนจริง แต่แนวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แนวพุทธ มีคนทำมาก่อนผมเยอะ หลายรุ่น เป็นพันปีแล้ว แต่มันสู้ กระแสหลักไม่ได้ กระแสหลากของอังกฤษ ของยุโรป ของอเมริกา ของญี่ปุ่น ของเกาหลี ที่หลากเข้ามา คนไทยมันรับวัฒนธรรมของฝรั่ง แขก ญี่ปุ่น เกาหลีหมด อารยธรรมไทยไม่รักษาเอาไว้ ผมเรียกว่าอารยธรรมผมไม่เรียกว่าวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมที่อารยะ แต่เราไม่รักษาเอาไว้ กลับไปบ้าเงิน ไปบ้าอบายมุข บ้าเอนเตอร์เทน ก็คืออบายมุข เราสอนกันว่าอาชีพเต้นกินรำกินมันไม่ดี แต่เค้ากลับไปเชิดชูกันเปิดสอนกันในมหาวิทยาลัยเลย คือวัฒนธรรมมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว มันเสื่อม ในหลวงท่านก็เตือนว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นจากความเสื่อมของมนุษย์ ภัยพิบัติธรรมชาติจะรุนแรง ฟ้าดินจะลงโทษ จริง ตอนนี้ทั้งฟ้าทั้งดินลงโทษแล้ว จะเกิดโรคระบาดขึ้น ตามดูดีๆทั้งโรคพืช โรคสัตว์ แม้แต่โรคในคนเต็มไปหมดเลยตอนนี้ กุ้งแค่โรค EMS รู้ตัววันนี้พรุ่งนี้ตายทั้งบ่อ เสียหาย เพราะฉะนั้นมนุษย์จะไม่มีอาหารจะกิน เพราะพืชมันตาย สัตว์มันตาย พอมนุษย์ไม่มีอาหารจะกินมันจะเกิดภาวะอดอยากข้าวยากหมากแพง นี่แหล่ะปัญหาเศรษฐกิจทั้งโรค จะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้ง และนำไปสู่สงคราม
4 อย่างนี้ที่พระองค์ท่านเตือนไว้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีคนสนใจ วิ่งเฮโลตามกระแสกันไป เราเห็นว่าลูกหลานเราจะอยู่อย่างไร ป่าหมดนี่น้ำท่วมแน่นอน ฝนหยุดแล้งแน่นอน ฝนตกท่วมแน่นอน เห็นอยู่ตำตา ใครก็รู้ เด็กนักเรียนก็เข้าใจได้ แต่มันไม่มีคนทำ เลยมีโครงการนี้ขึ้นมา เรามีโครงการทำเรื่องนี้มานานแล้ว เราพาคนมาอบรม ชาวนาต้องทำนาแบบที่พระเจ้าอยู่หัวแนะนำ พระเจ้าอยู่หัวแนะนำให้ทำตามแบบบรรพบุรุษ ท่านรู้ว่าที่ไหนควรไม่ควรทำอะไร ตรงไหนควรเก็บเป็นป่า หัวคันนาต้องเก็บน้ำได้ ไม่มีแล้วตอนนี้ เพราะฉะนั้นต้องเอาชาวนามาอบรมกันก่อน ยุคแรกๆเราจึงเอาจริงกับการอบรมชาวนา เค้าเปลี่ยนจากทำข้าวมาเป็นพืชไร่ พืชไร่ก็หวังเงินไว้เลี้ยงสัตว์ คุณปลูกข้าวโพดคนกินที่ไหน เอาไปให้สัตว์กิน ส่งออกไปยุโรปโน่น ไปบ้าปลูกพืชไร่กัน มันสำปะหลังคนกินได้ที่ไหน จะหวังเอาเงินกันทำลายป่ากันพินาศหมด สุดท้ายก็มาปลูกยาง ยางคนกินได้ที่ไหน
กินไม่ได้ทั้งนั้นที่เค้าพยายามส่งเสริมกันอยู่ ก็จะเอาเงินกัน แล้วเงินกินได้เหรอ
วันนึงก็จะรู้ว่าเงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง ผมซึ้งมากเลยตอนน้ำท่วม มันหาซื้ออะไรกินไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าเงินไม่มี น้ำท่วมแต่ไม่มีน้ำจะกินแปลว่าอะไร อาหารก็ไม่มีจะกิน เที่ยวได้หาซื้อ ยกเว้นคนบ้านนอกอย่างผม น้ำท่วมก็จับปลากิน แต่ต้องมีข้าวตุนไว้ ต้องมีน้ำดื่มสะอาด มีข้าว มีผัก มีปลา อยู่ได้ แต่คนที่ระบบการศึกษายุคใหม่เอามาบ่มเพาะ หาอยู่หากินไม่เป็นเลย เกิดภัยพิบัติขึ้นตายแน่ ตายแน่ๆเลย คนจนคนรวยมีสภาพเดียวกันแล้วตอนนี้คือหาอยู่หากินไม่เป็นแล้ว ในขณะที่เราอยู่บนแผ่นดินที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก กลับโง่เขลา จัดการศึกษาให้พาคนโง่เขลาทั้งประเทศ เราจะอยู่กันบนแผ่นดินนี้ได้ยังไงต่อไป
รุ่นลูกนี่ไปไม่รอดแล้วไม่ต้องพูดถึงรุ่นหลาน แล้วพระองค์ท่านก็เตือนไว้ทั้งนั้น เตือนไว้ทั้งหมดเพราะมันเสื่อม กระแสโลกมันหลากเข้ามา แล้วคนจัดตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นก็บ้าเรียนเหมือนเมืองนอก เอาคนมานั่งท่องกันเหมือนผีบ้า แล้วเด็กก็ทำอะไรไม่เป็นเลย จบออกมา
1.ไร้วินัย จัดการศึกษาให้ลูกหลานเราไร้วินัย
2. ทำอะไรไม่เป็น พึ่งตนเองไม่ได้
3. ไม่รู้มันจะเด่นอะไร เอาดีทางอะไร ไม่รู้
แล้วสุดท้ายอกตัญญู การศึกษาบ้านเราเป็นการศึกษาอกตัญญู หลวงพ่อพุทธทาสท่านเรียกว่า การศึกษาแบบหมาหางด้วน ผมเรียกการศึกษาอกตัญญู ยิ่งเรียนเก่งยิ่งทิ้งพ่อทิ้งแม่ ทิ้งบ้าน เก่งมากๆไปอยู่เมืองนอก ทิ้งแผ่นดินเกิด แล้วเป็นการกตัญญูได้ไง เรียกว่าเจริญได้ไง
นี่คือระบบการศึกษายัดเยียดให้เป็นแบบนี้ ประเทศไทยก็ถูกทิ้ง ปล่อยให้ไม่มีอะไรเหลือเลย 25 ลุ่มน้ำไม่มีป่าเหลือเลย เหลือก็เป็นกระหย่อมเล็กๆ สัตว์ยังอาศัยไม่พอเลย สัตว์ใหญ่อย่างกระทิง แรด ช้าง ไม่มีที่จะทำมาหากินแล้ว ไม่มีที่ทำมาหากินของสัตว์ มันต้องอาศัยอยู่ในป่าเล็กๆผสมพันธุ์กันเอง แป๊ปเดียวมันก็เอ๋อ มัน Inbreed ผสมพันธุ์กันในพี่น้องในสายเลือดเดียวกัน ไม่นานมันก็สูญพันธุ์ คนก็กำลังมีสภาพอย่างนั้น ป่าถูกตัดขาดหมด สัตว์ป่าปกติมันเดินถึงกันหมด ใต้สุดจนถึงเหนือสุด ถึงอีสานสุด ภาคกลางตะวันออก จากตราดอ้อมไปจนเหนือสุด ลงใต้สุดมันเดินถึงกันหมด ข้ามพม่า มาเล มันข้ามไปได้หมด มันไม่มีประเทศ ช้างมันจะรู้ที่ไหนว่ามี Immigration ไปดักไว้ นี่ประเทศไทย ประเทศพม่ามันไม่มี มันเดินถึงกันหมด มันจึงผสมข้ามเผ่าพันธุ์มันแข็งแรง มันกินพืช มันก็เดินข้ามเอาไปผสม พืชมันแข็งแรง มนุษย์กินสัตว์กินพืชก็แข็งแรงตาม พอพืช Inbreed สัตว์ Inbreed มนุษย์ก็ Inbreed อาหารที่กินเข้าไปทุกวันนี้อ่อนแอ คนรุ่นผมเด็กๆน้ำหนักตัวแบกได้อย่างกับมด ขุดดิน ขุดคลอง ขุดหนอง ขุดบึง กั้นฝาย ไม่ต้องใช้รถแบคโฮ เดี๋ยวนี้ไม่มีรถแบคโฮทำอะไรไม่เป็นเลย บ่อบ้านผมสามหนองน้ำ เป็นบ่อที่มีลักษณะเป็นหนองน้ำ บ่อคนมักจะติดสี่เหลี่ยมเราเลยไม่อยากเรียกว่าบ่อ อยากเรียกว่าหนอง หนองมันจะมีแลนด์สเคป มีสูงมีต่ำมีวนสวยงาม มีแลนด์สเคปสวยงาม แต่บ่อส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าเป็นสี่เหลี่ยม มีระดับความลึกเท่ากันหมด ปลามันชอบที่ไหน กุ้ง หอย ปู ปลา มันชอบที่ตื้นบ้างลึกบ้าง มันตกใจก็หนีเข้าที่ลึก มันอยากจะรีแลกซ์พักผ่อน อยากจะผสมพันธุ์ วางไข่ขยายพันธุ์ มันก็ต้องการที่ตื้นแดดถึง เราต้องรู้จักธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ การศึกษามันทำให้คนโง่หมด ไม่รู้จักว่าธรรมชาติของกุ้ง หอย ปู ปลา ซึ่งคุณกินมัน จะเลี้ยงความลึกเท่ากันหมด ฟีดนู่นนี่เข้าไปทำอย่างกับสัตว์ไม่มีชีวิต เป็นไปไม่ได้ ลองเทอมคุณจะสูญพันธุ์กันหมด
สิ่งเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์รู้ทั้งนั้น แต่นักการตลาดไม่ยอมมันโง่เขลา เราก็ทำเพราะเราไปสอนไม่ได้ สู้ศาสตราจารย์ ดร.ที่จบเมืองนอกไม่ได้ ชาวบ้านเอาอะไรไปสู้มันต้องมาทำตัวอย่างสู้กัน คุณทำนาให้ผลผลิตตันนึง คุณลงทุน 7,000 เราทำนาให้ผลผลิตตันกว่า ลงทุน 2,000 มันต้องสู้กันอย่างนี้ถึงจะชนะได้ เราพาชาวนาสองจังหวัดมาอบรมท้าทายกัน แล้วไปทำให้ดู ต้นทุนต่ำกว่าเดิมสองถึงสามเท่า แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่ามากกว่าเคมี คุณไม่ต้องไปพึ่งการนำเข้าปุ๋ย ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยี หัวคันนาก็ยกด้วยมือทำเอง ของแท้ต้องทำกันอย่างนี้
มูลนิธิจึงตั้งหลักสูตรขึ้นมาฝึกทั้งชาวป่าให้สร้างป่า ชาวเขาให้เก็นน้ำไว้บนเขา สร้างอาชีพให้มั่นคงของตัวเอง ชาวนาแม้แต่ชาวสวน แม้แต่ชาวประมง เอาหมดทุกกลุ่ม แม้แต่นักอุตสาหกรรมก็ต้องมาทำ คุณทำอุตสาหกรรมได้มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย อุตสาหกรรมเป็นเรื่องดี อุต ส่า หา กรรม อุตสาหะ เป็นกรรม กิจกรรมที่มันต้องใช้ความเพียร แต่อุตสาหกรรมที่มันไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้ทำลายคน ไม่ได้ลดความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ทำลายสภาพแวดล้อม มันทำได้ ถ้าคุณทำด้วยความโลภอุตสาหกรรมมันก็เป็นโทษ แต่ทำด้วยใจเป็นกุศลเป็นประโยชน์ อุตสาหกรรมก็เป็นบุญเป็นคุณได้ เราก็ไปสอนจัดหลักสูตรให้กับอุตสาหกรรม จัดหลักสูตรให้กับการศึกษา ทางสถาบันก็เน้นหนักในเรื่องวิชาการ ตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงขึ้น ให้เน้นหนักมาทำงานวิชาการ มาทำงานวิจัย มาทำงานนโยบาย มาทำงานด้านการจัดการศึกษากับคนอีกกลุ่มหนึ่ง เรามีหลักสูตรเปิด เรามีศูนย์ฝึกอยู่ 50 กว่าแห่ง เราพยายามเน้นให้คนลงรักษาแผ่นดินเกิด รักษาป่า รักษาดิน รักษาน้ำ รักษาอากาศบริสุทธิ์ไว้ รักษาอาหาร เพราะอาหารจะเป็นวิกฤตใหญ่ที่สุดของโลกต่อจากวิกฤตพลังงาน เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารจึงเป็นเรื่องที่ใหญ่สุดสำหรับมนุษย์วันนี้ เพราะคุณทำให้ดี คุณจะได้ทั้งอาหารได้ทั้งน้ำได้ทั้งอากาศไปพร้อม ได้ของใช้ไปพร้อม ในหลวงตรัสว่าป่าสามอย่างจะได้ประโยชน์ครบทั้งสี่อย่าง มนุษย์ก็มีชีวิตรอด ถ้าคุณมีปัจจัย 4 อย่างนี้ มีชีวิตอยู่ได้สบาย มีอากาศหายใจบริสุทธิ์ร่มเย็นสบาย มีอาหาร มีของใช้ มีที่ซุกหัวนอนมีที่อยู่อาศัย
คุณก็มีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าคุณอยากให้เจริญคุณก็ต้องไปทำงานให้ส่วนรวม พระเจ้าอยู่หัวบอกว่าวัดนี่แหล่ะคือเครื่องวัดความเจริญ วัดมันจะสะท้อนจิตใจบุญของคน คุณอยากรู้ว่าชุมชนนี้คนดีหรือคนเลว เต็มไปด้วยอบายมุขหรือเต็มไปด้วยคนใจบุญ ไปดูที่วัดได้ วัดเป็นเครื่องวัด เค้าจึงเรียกว่า วัด ว ไม้หันอากาศ ด เด็ก ธรรมดานี่แหล่ะ เครื่องวัดใจของคน วัดนี่จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ว่าบ้านส่วนตัวเค้าจะไม่สะสมกัน วัฒนธรรมอารยธรรมไทยเป็นอารยธรรมอาปัจจะยะ ไม่สะสม แต่วัฒนธรรมฝรั่งสะสมไว้ทุกบ้าน เอาบ้านรวย คุณจะเอาสมบัติที่ไหนมาสะสมเล่า มันก็โลภพังฉิบหายหมด คนก็จึงสะสมไปที่สวนรวมคือที่วัด แล้วมีคนดีที่ไม่ต้องจ้าง เอาลูกหลานไปบวช แล้วก็ดูแล วัดเป็นสหกรณ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก มีผู้จัดการสหกรณ์มีกรรมการสหกรณ์โดยไม่ต้องเสียตังค์ค่าเบี้ยประชุม มีชาวบ้านเอาข้าวมาเลี้ยง กินนอนอยู่นั่น ประพฤติธรรมปฏิบัติธรรม ยกระดับความเสียสละขึ้นไป นี่คือสหกรณ์ ผมเขียนอธิบายเรื่องนี้จนได้รางวัล นี่แหล่ะคือศูนย์กลางของการพัฒนาแท้จริงคือวัด วัดเป็นเครื่องสะสมบุญของคน พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระสงฆ์องค์เจ้า คุณก็มาช่วยกันเลี้ยงดูสิได้บุญมาก เป็นที่สะสมเพื่อน สะสมทาน ตอนเด็กผมยังมีโอกาสได้อานิสงฆ์องค์ทานเลย เป็นเด็กวัด กินข้าววัด อาศัยนอนวัด และเรียนที่วัด เป็นเด็กเติบโตมาจนจบมัธยม ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยผมอาศัยวัดอยู่มาตั้งแต่เด็ก เป็นอานิสงฆ์ เป็นทาน สัตว์ก็ได้อาศัย คุณเลี้ยงหมาแมวเลี้ยงไม่ไหว คุณเอาไปไหน ก็ไปโยนทื้งใส่วัดใช่ไหม ก็เป็นที่อาศัย ให้คนมาทำทาน ที่สำคัญวัดเป็นที่เก็บสะสมรักษาสมบัติ ทองเค้าก็เอาไปไว้วัดไม่ได้ไว้บ้าน คุณมีไม้ดีๆมีของดีเอาไปไว้วัดหมด เก็บไว้บ้านไม่ได้อัปปรีย์จัญไร เค้าสอนกันมาอย่างนี้ นี่คืออารยธรรม แต่คนยุคใหม่มันโง่ ไปหลงเรียนมาจากฝรั่งโง่เขลามองไม่เห็นอารยธรรม
ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินท่านบอกว่าบรรพบุรุษทำไว้ดีแล้ว ถ้าไม่ดีเค้าจะอยู่มาเป็นพันปีได้อย่างไร คุณไปเรียนเมืองนอกมากลับมาพัฒนาประเทศไม่ถึงร้อยปีเลยพังพินาศหมด แต่ในหลวงท่านพูดเพราะ นี่ผมพูดภาษาบ้านๆ เพราะฉะนั้นวัดจึงเป็นที่สะท้อนความเจริญให้กับสังคม สร้างบุญสร้างทาน เก็บรักษาและค้าขายก็อาศัยวัดนั้นแหล่ะเป็นตลาดทำที่ค้าขายกัน และสุดท้ายรวยแล้วจากการค้าเค้าต้องมาสร้างบุญทานต่อ คนรวยแล้วก็ไปสร้างมูลนืธิ สร้างโรงเรียน สร้างวัด ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อจึงเรียกว่าเศรษฐี คนรวยที่สะสมทุกอย่างไว้เป็นของส่วนตัวเค้าไม่เรียกเศรษฐี เค้าเรียกพวกขี้งก แต่เศรษฐีแท้ๆนั่นมั่งคั่งมีฝีมือร่ำรวยแล้วช่วยเหลือจุนเจือเพื่อนมนุษย์ โลกต้องการเศรษฐีตัวจริงไม่ใช่เศรษฐีจอมปลอมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ถ้าเราสร้างทฤษฎีใหม่ ในหลวงเรียกว่าทฤษฏีใหม่ คือ ต้องจัดการน้ำไว้ในที่ของตัวเอง แล้วก็ทำการผลิตให้มันเหลือเฟือได้ ทฤษฎีใหม่เราเอามาแปลงให้ชาวบ้านเอาไปถกเถียงกันได้ เพราะทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีใครกล้าถกเถียงเลย ยกขึ้นหิ้งหมด แต่ไม่ทำตามนะสังคมไทย เราอยากให้เค้าปฏิบัติตามจึงต้องเปลี่ยนเป็นภาษาบ้านๆว่า กระจายไปเป็นโคก หนอง นาโมเดล ให้ชาวบ้านทำเต็มประเทศหมด ถ้าทุกบ้านเก็บน้ำไว้ทำนาที่บ้าน เก็บน้ำไว้ทำสวน เก็บน้ำไว้ใช้ ถ้าบ้านละหมื่น ล้านบ้านคือหมื่นล้านคิว ถ้าบ้านละสองหมื่น คือสองหมื่นล้านคิว บ้านผมเองที่ 40 ไร่ผมเก็บแปดหมื่นห้าพันคิว ถ้าล้านรายเท่านั้นทำแบบผม จะมีน้ำเก็บไว้ทุกบ้าน แปดหมื่นห้าพันล้านคิว มากกว่ากรมชลประทานสร้างไว้ทั้งประเทศตั้งแต่ตั้งมาเป็นร้อยปี มันต้องปลุกให้ชาวบ้านเก็บน้ำไว้ในบ้านตัวเอง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวพยายามบอก แต่ก็ไม่ทำกัน เพราะฉะนั้นเราจะพยายามทำสิ่งเหล่านี้ ทุกลุ่ม ถ้าหนึ่งลุ่มเป็นเสมือนถาดขนมครก ถ้าทุกบ้านเป็นเสมือนหนึ่งหลุมขนมครก เก็บไว้ทุกรูปแบบ เก็บไว้ด้วยฝายก็ได้ ทำเองจะไปยากอะไร เก็บไว้ด้วยคลองด้วยหนองด้วยบึงด้วยต้นไม้ ระบบรากมันใต้ป่า ใต้โคกเก็บน้ำชั้นดีถ้ามีระบบ บนโคกมีต้นไม้ เก็บไว้ทุกรูปแบบเลย หรือแม้แต่ฝนตกลงหลังคาก็ใส่ตุ่มเอาไว้ เค้าจะมีน้ำกินน้ำใช้ตลอด ทำการเกษตรตลอด เค้าแล้งกันคุณก็ไม่แล้ง มันเก็บไว้ไม่ปล่อยลงมาท่วมกรุงเทพด้วย เราก็จะแพร่ออกไปเต็มประเทศให้ได้ ค่อยๆทำไปทีละลุ่มๆเฉพาะลุ่มป่าสักเอาแสนจุดก่อน ค่อยๆพัฒนาไป เอาโรงเรียน เอาวัด เอาชุมชน เอาคนมีใจนั่นแหล่ะ ช่วยกันทำต้นแบบไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันสำเร็จเอง อย่าเลิกละกัน
ซึ่งหลังจากนี้ เชฟรอนจะยังคงร่วมมือกับสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ เป็นโครงการต่อเนื่องอีก 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2557-2559 เพื่อให้รากฐานที่เราร่วมสร้างกันมาในครั้งนี้เกิดขึ้นสำเร็จเป็นรูปธรรม เกิดการรับรู้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น การทํางานยังคงเน้นเรื่องการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักเป็นหลัก ทั้งการให้ความรู้กับชุมชน เยาวชน และประชาชนทั่วไป และการอนุรักษ์น้ำและป่าตามศาสตร์พระราชา เพื่อสร้างโมเดลการจัดการลุ่มน้ำต้นแบบ นอกจากนี้ ในส่วนของเชฟรอนเอง จากวันนี้ถึงสิ้นปี ยังได้ร่วมมือกับทางสถาบันฯ ในการสร้างความเข้มแข็งให้ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงที่หนองโน และที่โรงเรียนบ้านโป่งเกตุ โดยให้การสนับสนุนหลายด้าน แต่ส่วนที่สำคัญคือ เชฟรอนจะนําพนักงานไปร่วมกันทํากิจกรรม ทั้งการทําโคก หนอง นา และอื่นๆ
โดยผู้ที่สนใจ สามารถติดตามเรื่องราว ภาพกิจกรรมย้อนหลัง และกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับโครงการฯ ได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking