การแต่งหน้าแต่งตาของมนุษย์ตั้งแต่ในอดีตไม่ได้เพียงเพื่อความสวยงามจำเริญตาเพียงอย่างเดียว บางพวกบางชนเผ่าแต่งหน้าเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายไปจนถึงขับไล่แมลง
ย้อนไปในศตวรรษที่ 17 มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ยอมเสี่ยงชีวิต ยอมทำร้ายตนเองเพื่อให้มีใบหน้าขาวด้วยการกรีดเลือด หรือนำสารตะกั่วมาทาหน้า ดังนั้นการแต่งหน้าจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การสะท้อนรสนิยมของบุคคล หากแต่มีการส่งผ่านเป็นวัฒนธรรมเป็นเรื่องราวเป็นเรื่องเล่ามาอย่างยาวนาน ปัจจุบันการแต่งหน้ากลายเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดเม็ดเงินมหาศาล ก้าวข้ามวัฒนธรรมการแต่งหน้าแบบเดิมไปไกลลิบ มีอาชีพ Make up Artist หรือช่างแต่งหน้าเกิดขึ้น ผลิตศิลปิน กูรูทางด้านการแต่งหน้าขึ้นมากมายในเวทีโลก แต่ถ้าพูดถึง Make up Artist ในเมืองไทย เชื่อได้ว่าอีกไม่นานเธอจะกลายเป็นหมุดหมายหนึ่งของยุคสมัยอย่างแน่นอน
แพรชอบศิลปะตั้งแต่เด็กๆ เมื่ออยู่ในช่วงที่ผู้หญิงสาวทุกคนรักสวยรักงาม เริ่มแต่งหน้า เริ่มปัดมาสคาร่า รู้สึกว่าสนุกและเอนจอยกับการแต่งหน้ามาก ก็คิดว่าเราน่าจะมาทางนี้แหล่ะ ประกอบกับแพรโชคดี ได้รับโอกาสที่แพรเชื่อว่าช่างแต่งหน้าทุกคนมีความฝันว่าอยากจะแต่งหน้าที่ลอนดอนแฟชั่นวีค หรือตามแบล็คสเตรท อันนั้นเป็นความฝันที่แพรอยากทำ แล้วเราก็ได้เข้าไปทำตรงนั้น
แพรทำงานทางด้านนี้มา 2 ปีแล้ว จะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค เฟสบุ๊ค ยูทูบ อินสตราแกรมซะส่วนใหญ่ เว็บไซต์ยังไม่ได้ใช้มากขนาดนั้น แต่ปีหน้าจะเพิ่มเว็บไซต์ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้ามากขึ้น เพิ่มข้อมูลให้ผู้ที่กำลังติดตามเรามากขึ้น
สำหรับแพร แพรมองตัวเองว่าเป็น Beauty Influencers เวลาเราหยิบจับโปรดักส์ชิ้นไหนหรือเรามีวิธีการแต่งหน้ายังไง มันก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง แพรมองตัวเองในฐานะเป็น Make up Artist แล้วก็เมคอัพกูรูด้วย เพราะเราได้ทดลองโปรดักส์หรือเมคอัพหลายๆอย่าง สามารถมาแบ่งปันความรู้ตรงนี้ได้ สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ คือ การสอนแต่งหน้าในโซเชียลเน็ตเวิร์ค อารมณ์จะคล้ายๆบล็อก แต่จะไม่ได้มีบล็อกจริงจังมานั่งเขียนรีวิวเครื่องสำอางอะไรขนาดนั้น จะเน้นในเรื่องของเมคอัพลุคมากกว่า อย่างเช่นแต่งหน้าอย่างไรให้มันสนุกสนาน สอนแต่งหน้าบ้าง บางครั้งก็จะจัดเวิร์คช้อปให้กับน้องๆแฟนคลับในตีมต่างๆเช่น ตีมรีไซเคิล ซึ่งการแต่งหน้าบางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอาง ใช้อย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ เช่น เปลือกขนม อย่างล่าสุดคือตีมฮาโลวีน ของแพรไม่ได้เป็นฮาโลวีนแบบแต่งผี จะมีการนำสีนีออนและแบล็คไลท์มาเกี่ยวข้อง ทำให้เวิร์คช็อปมันแตกต่างแล้วก็สนุกขึ้น ที่เชียงใหม่จะเป็นเวริค์ช็อปเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ประกวดแต่งหน้าเรา ว่าถ้าคิดว่าหน้าเราเป็นกระทงแล้วเราจะแต่งยังไง คนที่มาร่วมงานต้องแต่งชุดไทย แพรสอนแต่งหน้าที่นั่นแล้วก็มีการลอยกระทงกัน เป็นอีเว้นท์เล็กๆ
โดยส่วนตัวมองว่าสิ่งที่แพรทำอยู่มันเป็นแฟชั่น หรือต่อไปในอนาคตข้างหน้ากำลังจะกลายเป็นงานศิลปะ
มองได้สองอย่าง ถ้าพูดถึงเรื่องแฟชั่น การแต่งหน้ามันเป็นภาพรวมอยู่แล้ว ผม เสื้อผ้า หน้า เล็บ แม้กระทั่งตัวคนที่ใส่เอง ไม่ว่าจะป็นดีไซน์เนอร์หรือผู้บริโภค ก็เป็นอะไรที่มีมาตั้งนานแล้ว ตัวการแต่งหน้ามันซัพพอร์ทกับแฟชั่นอยู่แล้ว มันสามารถขึ้นไปอยู่ในเอ็กซิบิชั่นหรือเข้าไปอยู่ในมิวเซียมได้เหมือนกัน ถ้าคุณแต่งหน้าจริงจังแล้วถ่ายรูปมันก็เป็นผลงานอาร์ตได้อย่างนึง มันสามารถเล่าเรื่องราวว่าแรงบันดาลใจของลุ๊คนี้มาจากไหน เล่าเรื่องราวว่าทำไมเราถึงทำตรงนี้ ทำไมเราถึงใช้มิกซ์มีเดีย ทำไมเราถึงใช้อุปกรณ์นี้ มันสามารถเล่าได้ เพราะเทรนด์การแต่งหน้ามันจะมาเรื่อยๆ อย่างงานแฟชั่นวีคหนึ่งปีจะมีสองครั้งพวกเทรนด์การแต่งหน้าจะมาจากแฟชั่นวีคนี่แหล่ะ เค้าจะดูโทนสีที่ดีไซน์เนอร์เลือกใช้ อย่างเช่นช่วงเดือนกุมภาเค้าก็จะคอนเซนเทรดเกี่ยวกับหน้าหนาวว่าอะไรจะมาบ้าง จะดูจากเสื้อผ้า โทนครึ้มๆดำๆหน่อย เราก็จะรู้แล้วว่าวินเทอร์ พวกทาสีปากจะเป็นสีเบอร์รี่แก่หน่อย หรือจะดูสีตาได้จากงานแฟชั่นวีคเหล่านี้ พอมาช่วงเดือนกันยายนจะเป็นเรื่องของซัมเมอร์ที่ใกล้มาแล้ว ก็จะมาดูว่าพวกแฟชั่นดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าเค้าเป็นยังไง ถ้าช่วงนี้เป็นสีเขียว เราก็จะรู้เทรนด์การแต่งหน้าของปีนั้น ก็จะเป็นอารมณ์สีเขียว ปากสีฉูดฉาดเพื่อต้อนรับกับซัมเมอร์
สิ่งที่แพรทำคือการหยิบสิ่งรอบๆตัวที่รู้สึกว่าสนุกสนาน อย่างได้เห็นการทำงานของคนที่อยู่ในวงการแฟชั่น แพรนำสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นมาผสมผสานให้เข้ากันและสามารถใช้ในชีวิตจริงได้ บางคนอาจจะเห็นว่าบางครั้งลุ๊คของแพรมันดูเยอะ อาจจะไม่เหมาะสมกับคนไทยและใช้ในชีวิตประจำวันได้แต่อย่าลืมว่าบางครั้งเราก็มีตีมปาร์ตี้ มีการจัดเลี้ยงซึ่งเราสามารถหยิบเอาตรงนี้มาใช้ได้เหมือนกัน แพรคิดว่าแพรนำอะไรที่มันดูริชไม่ถึงมาทำให้มันริชได้โดยที่เพิ่มความสนุกให้กับใบหน้าเรา
ในเรื่องของศิลปะถ้ามองย้อนอดีต คิดเล่นๆว่าทำไมคนเราถึงแต่งหน้า ไม่ใช่แค่ผู้หญิง อย่างชนเผ่าบางเผ่าจะออกไปรบก็ต้องแต่งหน้า มองว่าการแต่งหน้ามันอยู่ในอารยธรรมมนุษย์มาตั้งนานแล้ว คนอยากสวยเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นชนเผ่าแพรมองว่าเป็นเรื่องศิลปะ ชนเผ่าเค้าพยายามที่จะพรางตัวให้เข้ากับสถานที่ๆเค้าอยู่ แพรก็เข้าใจว่าถ้าชนเผ่าเค้าคงไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างให้กลายเป็นเทรดมาร์คของเค้า อย่างประเทศไทยเราก็มีชฏา แต่ชนเผ่าแพรมองว่าเค้าใช้สีที่อยู่รอบตัวเค้ามาวาด แพรว่าเป็นแรงบันดาลใจที่ดีอย่างนึง
แรงบันดาลใจในการทำงานสร้างสรรค์
แพรมองการแต่งหน้าว่ามันสนุก ไม่ได้เป็นแค่ความสวยความงาม แพรโตมาจากเมืองนอกแพรได้เห็นอะไรที่ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เราไปมิวเซียม เราไปพิพิธภัณฑ์ ไปเอ็กซิบิชั่น เราได้เห็นอะไรใหม่ๆบวกกับที่แพรเรียนศิลปะ แพรคิดว่าบางครั้งการวาดรูปหรือการที่เราจะครีเอทผลงานขึ้นมาซักชิ้น มันไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทุกคนเค้าใช้กัน เช่นการวาดรูปมันไม่จำเป็นต้องใช้สีเพ้นท์นะ คุณอยากเอากระดาษเข้ามาเพิ่มเท็กซ์เจอร์ให้กับมันก็ได้ หรือคุณอยากจะใช้หินหรือเพชรก็ได้ มันคล้ายๆหลักการเดียวกับการวาดรูปหรือการเพ้นท์ติ้งนี่แหล่ะ แต่เราสามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับใบหน้าเราได้ บางครั้งเราไปออกงานก็จะมีการใช้ทองคำเปลวหรือเพชรบ้าง เพราะแพรรู้สึกว่าแต่งสโมคกี้อายมันน่าเบื่อแล้ว เราอยากเพิ่มความพิเศษ ความสุขทุกครั้งที่เราออกไปข้างนอก
ส่วนการเติมแรงบันดาลใจในการทำงานของแพร ด้วยความที่แพรโตมากับพวกโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราก็ค่อนข้างแน่นกับพวกความรู้ รู้ว่าเว็บไซต์อะไรที่ต้องเข้าไปดูในโซเชียล แรงบันดาลใจมาจากทุกที่ เราไม่ได้คิดหรอกว่าวันนี้จะแต่งหน้าเป็นโทนสีชมพู แพรจะมองจากสิ่งรอบๆตัวก่อนว่ามีอะไรบ้าง บางครั้งนั่งอยู่บนรถมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสีเขียวของต้นไม้พอมันตัดกับสีฟ้าแล้วเอามาทำกับอายไลน์เนอร์ได้ แรงบันดาลใจมาจากสิ่งรอบๆตัว
ถ้าอ่านข่าวสังคมจะมีคนบอกว่าแพรเป็นเซเลบ เป็นไฮโซ ถึงทำงานแต่ไม่ลำบาก จริงๆแล้วตอนทำงานนี่ลำบากไหม
เหนื่อยนะคะ ยิ่งตอนช่วงเริ่มต้น ถามว่าครอบครัวแพรอยู่ในวงการไฮโซไหมนี่ ไม่เลยนะ ถ้าไปคุ้ยประวัติจริงๆคุณพ่อคุณแม่แพรจะไม่เคยมีสัมภาษณ์ในหนังสือหรือว่ามีหน้ามีตาในสังคมเลย แต่ด้วยฐานะทางบ้าน แพรมีโอกาสที่จะไปเรียนเมืองนอก มีโอกาสที่มากกว่าคนอื่น แต่เราก็ไม่ได้เป็นไฮโซ ถึงจะเริ่มต้นที่ครอบครัวมีธุรกิจอยู่แล้ว แต่แพรโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่ค่อนข้างเปิด รับฟังว่านี่คือสิ่งที่เราชอบนะ ด้วยความที่แพรเลือกเรียนศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆเราก็มีวิธีดิวกับคุณพ่อคุณแม่ว่าถ้าเราอยากเรียนศิลปะเราจะเลือกเรียนสิ่งนี้ให้เค้าแทน อย่างน้อยเค้าจะได้เห็นว่ามันมีหลักประกันนะ เพราะเค้าไม่แน่ใจว่าเราจะไปต่อยอดได้ไหม แต่เค้าก็ยังอยากให้เราเรียนเลข เรียนพวกบิซิเนสเก็บไว้ด้วย แพรว่าแพรได้ใช้ในเรื่องของความคิดหลายๆอย่างที่ไปเจอที่เมืองนอก อย่างเวลาเราเรียนหนังสือที่เมืองไทยเด็กน้อยคนที่จะกล้ายกมือถามคำถามคุณครูในห้อง แพรก็เป็นนะ แล้วคิดว่าถ้าเวลาเรายกมือถามคุณครูเราจะดูโง่ แต่ถ้าเป็นที่เมืองนอกเค้าจะยกมือแย่งคุณครูถาม เพราะว่าเค้าไม่เข้าใจก็ถามกันตรงๆ เมื่อไปเรียนที่นู่น แพรได้ความคิดมาจากเมืองนอกเยอะ
มีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไร เพราะเห็นแพรทำงานหนักมาก
แพรออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้ง พยายามไม่ทานแป้งมาก แพรชอบกินพวกเฟรนฟราย แต่ถ้าวันไหนกินเฟรนฟรายแพรก็จะกินสลัดเยอะหน่อยให้มันดูบาลานซ์ แต่ไม่ชอบทานของมันขนาดนั้นเช่น ขาหมู ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แพรไม่ได้บังคับตัวเองว่าต้องเป๊ะ เราต้องมีความสุขให้กับตัวเองด้วยกับสิ่งที่ทำอยู่ อะลุ่มอล่วยเป็นบางเวลาแต่ก็ต้องรู้ว่าเวลาไหนจริงจังและเวลาไหนเล่นๆได้
สิ่งที่อยากจะทำในอนาคต
อยากมีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง แล้วเปิดโรงเรียนคล้ายโรงเรียนศิลปะที่มีการแต่งหน้าเข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออาจจะเป็นโรงเรียนสอนการแต่งหน้าที่มีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่อยากฟิกตายตัวว่า หนึ่งคุณต้องลงรองพื้น สองคุณต้องลงนู่นนี่นะ อย่างนี้นะ แพรอยากให้คนที่เข้ามาเรียนเค้าเข้าใจด้วยตัวเองว่าทำไมต้องลงรองพื้น ทำไมต้องลงนี่ แต่ไม่อยากไปบอกเค้าว่า หนึ่งสองสามมีขั้นตอนอย่างไร แต่ให้เค้าทำความเข้าใจ ให้เค้าเป็นตัวของเค้าเอง ให้เค้าสร้างสรรค์ผลงานเป็นสไตล์ของเค้าโดยไม่ต้องมาตั้งตามเรฟเฟอร์เรนซ์
เทรนด์การแต่งหน้าบ้านเราที่ผ่านมาเค้าแต่งกันเดิมๆทุกวันนี้แพรมีแฟนคลับเยอะมาก เวลาออกไปไหนเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม
แพรเห็นเยอะนะ อย่างเวลาไปงานก็จะมีติดดาวมีกรีดอายไลเนอร์สีๆมากขึ้น กล้าที่จะทาปากสีแปลกๆเยอะ ช่วงสองปีที่กลับมาคนเปลี่ยนการแต่งหน้าเยอะขึ้น เค้ากล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆเวลาแพรคุยกับน้องๆแพรสอนเค้าเสมอว่าอย่าไปเอามาตรฐานความสวยตามโฆษณา หรือมาตรฐานความสวยของดารา ทุกคนมีจุดดี จุดเด่น จุดด้อยของตัวเองอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าเราสามารถเข้าใจและมองตัวเองได้รึเปล่าว่านี่คือเรานะ เราต้องรักตัวเองและเห็นว่าตรงนี้เราปรับได้โดยไม่พยายามจะไปเหมือนคนนั้นหรือพยายามแต่งหน้าเลียนแบบคนนี้ ทุกอย่างมันต้องใช้ความเข้าใจ อย่างถ้าเรารู้ว่าเราปากสวยแต่คนอื่นเค้าฮิตกรีดอายไลน์เนอร์กัน ก็ไม่เห็นจำเป็น เราก็ทาสีปากแรงๆไป มันก็กลายเป็นซิกเนเจอร์ของเราได้ ไม่ใช่ว่าช่วงนี้อินเทรนด์ดาราติดขนตาสองชั้นเราก็ไปทำตาม มันไม่จำเป็น
ถ้าวันนี้แพรไม่ได้เป็น Make up Artist
แพรค่อนข้างชอบทำอาหาร ตอนอยู่ที่นู่นก็พยายามหาครอส์เรียนทำอาหาร อาจไม่ใช่ประเภทที่ต้องลงไปลุยเองในครัว แต่จะหาอินเกรเดียนแปลกๆมาลองผลิต