Like Father Like Son พ่อ ลูก แตกต่างเหมือนกัน

ส่วนตัวไม่อาจประกาศได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ ฮิโรคาซู โคริเอดะ ผู้กำกับมากฝีมือชาวญี่ปุ่น แต่เขาเป็นผู้กำกับจากแดนปลาดิบที่คุ้นเคยที่สุด หนังของเขามีไม่เยอะ ไม่น่าเชื่อ เมื่อไล่เรียงดูทั้ง Nobody Knows, Still Walking และ I Wish ผมล้วนเคยดูมาแล้วหมดทั้งสิ้น

ชาวเอเชียอาจจะคุ้นหูและชื่นชมผลงานของเขา แต่เพิ่งจะมา Like Father,Like Son ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขานี่เองที่ทำให้ชาวโลกรับรู้ถึงความสามารถของเขา หนังเรื่องนี้กวาดรางวัลใหญ่ๆในหลายเวทีทั่วโลก รวมถึงรางวัลจูลี่ไพร์ซจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ซึ่งเป็นกรรมการชื่นชอบจนขอซื้อลิขสิทธิ์หนังเรื่องนี้ไปรีเมกเป็นฉบับฮอลลีวู้ด ส่วนด้านรายได้แค่ในเกาะญี่ปุ่นก็กวาดไปหลายพันล้านเยนเลย

Like Father,Like Son เป็นเรื่องราวของ เรียวตะ หนุ่มออฟฟิศบ้างานหัวหน้าครอบครัวโนโนมิยะในเมืองหลวงที่ทราบข่าวร้ายว่า เคตะ เด็กชายที่เขากับภรรยาเลี้ยงดูมา6ปีไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา ขณะที่ลูกแท้ๆของเขาคือ ริวเซ ถูกเลี้ยงดูอยู่กับครอบครัวไซกิ ครอบครัวใหญ่ในชนบท ทั้งสองครอบครัวตกลงว่าจะแลกตัวเด็กคืน ทว่าความผูกพันธ์จากการเลี้ยงดูและอยู่ด้วยกันทำให้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ประสบภาวะสับสนในชีวิต

พล็อตเด็กสลับตัวถือว่าไม่ใหม่ซะทีเดียว(โดยเฉพาะในละครหลังข่าวบ้านเรา) แต่ก็มีความน่าสนใจ เพราะส่วนใหญ่กว่าจะรู้ความจริงก็โตแล้ว ผิดกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เรื่องมาแดงเอาตอนเด็กกำลังจะเข้าเรียนชั้นประถม บทหนังดำเนินไปแบบราบเรียบตามสไตล์ผู้กำกับ บทสนทนาน้อยแต่กระทบใจ เน้นการถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดง นอกจากนี้ยังมีการแตะประเด็นความแตกต่างต่างทางชนชั้นบางๆ รวมถึงต้นเหตุของการสลับตัวก็ยังสะท้อนถึงปัญหาการป่วยไข้ทางสังคมของคนญี่ปุ่น

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นการแสดงของเด็กๆในเรื่อง นับว่า โคริเอดะ เป็นผู้กำกับที่ถ่ายทอดมุมมองของเด็กออกมาได้ดีมาก สังเกตจากผลงานที่ผ่านมา ตัวละครหลักๆก็เป็นเด็ก (Nobody Knows,I Wish) เคตะ เด็กอ่อนแอ ขี้อาย หน้าตาน่าเอ็ดดู เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่อง ริวเซ ภายนอกเป็นเด็กร่าเริงแต่ข้างในใจก็เก็บความเศร้าไว้ไม่น้อย เคตะ มีส่วนคล้ายทั้งพ่อที่เลี้ยงดูและพ่อทางสายเลือด ขณะเดียวกันก็มีส่วนที่แตกต่างกับทั้งคู่พอๆกัน เช่นเดียวกับกรณีของ ริวเซ เราชอบคำพูดติดปากของ ริวเซที่ว่า โอ้มายก็อด มันมาถูกจังหวะตลอดจนทำให้คนดูยิ้มไม่หุบ อีกคนที่น่ารักแบบไร้เดียงสาคือ เด็กชายน้องสุดท้องของบ้านไซกิ การที่เอาเด็กเล็กมากๆมาเล่นหนังนี่ นับว่าเป็นการแสดงที่เหมือนไม่ได้แสดง มันธรรมชาติสุดๆจนผมสนใจทุกๆซีนที่มีเขาโผล่มา

ฟูคูยาม่า มาชาฮารุ ที่รับบท เรียวตะ แสดงได้ยอดเยี่ยม เขาถ่ายทอดทั้งความเป็นพ่อและลูกในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วน ลิลลี่ แฟรงค์กี้ ที่แสดงเป็นหนุ่มช่างไฟฟ้าบ้านนอก เขาดูเป็นคนไม่เอาไหนที่จิตใจดีมากๆ จูน ฟูบูกิ ซึ่งเล่นเป็นภรรยาของเรียวตะ ฉายภาพสาวเมืองกรุงหัวอ่อนที่ยอมสามีทุกอย่างได้ดี เพื่อให้นำมาเปรียบเทียบกับ มาชิโกะ โอโนะ ในบทสาวแม่ลูกสามที่เข้มแข็งและมีความเป็นผู้นำ

ดนตรีประกอบเป็นเปียโนอ้อยอิ่งเขากับโทนหนังเนิบช้า การถ่ายภาพสวยงามเป็นธรรมชาติ ฉากประทับใจส่วนตัวชอบฉากที่ เคตะ แอบหลบหน้าพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงมา และฉากที่ ริวเซ หนีออกจากบ้านพ่อแม่ร่วมสายเลือด มันบอกนัยอะไรได้หลายอย่าง เด็กบางคนหนีทั้งที่อยากเจอ กับเด็กอีกคน หนีเพราะอยากเจอ

Like Father,Like Son เป็นหนังครอบครัวคุณภาพอีกเรื่องจากแดนอาทิตย์อุทัย ไม่บีบคั้นอารมณ์ให้คนดูร้องไห้อย่างหนังดราม่าหลายๆเรื่อง แต่ปล่อยให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับบรรยากาศ เรื่องราว และตัวละคร จนจุกอก เต็มตื้น นํ้าตาซึมโดยไม่รู้ตัว หนังไม่ได้ตัดสินหรือโน้มน้าวว่า ความผูกพันทางสายเลือด หรือ ความผูกพันทางการเลี้ยงดู แบบไหนสำคัญกว่า พร้อมกับการจบแบบปลายเปิดให้คนดูได้ครุ่นคิดถกเถียงกันต่อเอง

เคยมีหลายคนพูดว่า คนไม่รักกันอยู่ด้วยกันนานๆก็รักกันไปเอง กระนั้นก็มีหลายคนพูดอีกว่า ถึงสายเลือดจะต่างกัน แต่อยู่ด้วยกันไปนานๆรูปร่างหน้าตาก็จะเหมือนกันไปเอง ทั้งสองประโยคล้วนไร้ซึ่งเหตุผล แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

บทวิจารณ์โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนังได้ที่ : http://movie.bugaboo.tv/watch/85280

สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ (นกไซเบอร์)

จบด้านขีดๆเขียนๆ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ เป็นคนชอบดูหนังมาก ดูได้ทุกแนว เมื่อดูจบแล้วมีอะไรค้างคาในใจก็จะมาระบายออกลงในบล็อกส่วนตัวเงียบๆ ใช้นามปากกาว่า นกไซเบอร์

You may also like...