“ไม่มีใคร
กล้าอวดโฉม
ในชุดเดรสสีดำต่อหน้าฉัน”
Gabrielle Chanel
เราเคยรู้ไหมว่าน้ำหอมจะพาเราไปยังแห่งหนใด?
แม้จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้แล้วก็ตาม แต่ระหว่างการเดินทางก็อาจเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจอย่างที่เราไม่นึกฝัน และบางครั้งเมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายก็อาจได้พบกับสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าที่คิดไว้
น้ำหอมเกิดจากการสร้างสรรค์ที่บริสุทธิ์และการรับรู้เฉพาะที่ไม่อาจจับต้อง แต่รับรู้ได้จากความรู้สึก สิ่งที่ยังคงอยู่คือน้ำหอมรุ่นต่างๆ กาลเวลาได้จารึกส่วนประกอบของความหอมที่ไม่คาดฝันเหล่านี้ไว้ในประวัติศาสตร์ของน้ำหอมจนเป็นที่เข้าใจและยอมรับ
Coco Noir เป็นผลผลิตจากความลับอันเปี่ยมพลังที่เคยทำให้น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ได้รับความนิยม จึงเป็นความผูกพันที่เต็มไปด้วยความหมาย อุดมด้วยความสดชื่นและพลังแห่งการสร้างสรรค์ใหม่ๆ มอบรสชาติแห่งอิสระที่เข้มข้น และมีบางสิ่งที่ทำให้คงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
นั่นเป็นสิ่งที่ Jacques Polge ต้องการให้เป็น เขาเชื่อว่าน้ำหอมแต่ละชนิด “สามารถดำรงอยู่ได้เพราะน้ำหอมรุ่นก่อนๆ”
ในตอนแรก คุณจะเกิดความคิดขึ้นเองตามสัญชาตญาณโดยไม่สามารถอธิบายได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จะนึกได้ว่ามันมีความเกี่ยวเนื่องกัน Coco Noir ทำให้ผมนึกถึง Coco และ Coco Mademoiselle เพราะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ผมต้องการสืบทอดการค้นหาความสุนทรีย์ในน้ำหอม CHANEL เป็นผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่แตกต่างจากกลิ่นดอกไม้ และสะท้อนให้เห็นได้จาก Bois-des-Iles และ Cuir de Russie ผมนำมาพิจารณาใช้ร่วมกับ Coco นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้นึกถึงวัฒนธรรม Coromandel ของ CHANEL ซึ่งคุณสามารถพบเห็นและสัมผัสได้ในอพาร์ตเมนต์ของเธอ ภาพยามราตรีของ “ดินแดนตะวันออกที่เริ่มต้นและสิ้นสุดลงในเวนิส” ปรากฏขึ้นในความคิดของผมและนั่นเป็นสถานที่ที่ผมต้องการจะไป”
ค.ศ. 1984 เป็นปีเปิดตัวน้ำหอม Coco ที่ผสมผสานกลิ่นเปลือกไม้ เรซิน ดอกไม้ เครื่องเทศ และผลไม้เข้าด้วยกันอย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนขุมทรัพย์อันมีค่าและแหล่งกำเนิดแห่งการค้นหาและเสน่ห์เย้ายวนใจที่เป็น อมตะ
ต่อมาในปีค.ศ. 2001 Coco Mademoiselle มอบกลิ่นอายความเบิกบานให้น้ำหอมกลิ่นเข้มข้น ซึ่งนำเสนอความเรียบง่ายและเน้นความสดใสของผลไม้และดอกไม้
“ทำไมทุกอย่างที่
ฉันทำ
ถึงกลายเป็นศิลปะแบบไบแซนไทน์ไปหมด”
Gabrielle Chanel
และในปัจจุบัน CHANEL เปิดตัว Coco Noir น้ำหอมสไตล์บาร็อกที่มอบสีสันยามค่ำคืน ให้ความรู้สึกเปรียบประดุจการเดินทางที่ชวนให้ระลึกถึง Gabrielle ซึ่งนำความน่าประทับใจของสีดำและเวนิสมาไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
รวมทั้งสอดแทรกในผลงานและชีวิตของเธอได้อย่างลงตัว
ในเวนิสซึ่งเป็นเมืองแห่งความทรงจำและคำมั่นสัญญา Gabrielle Chanel ได้พบกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ตอนแรกเธอตั้งใจเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อไว้อาลัยต่อ Boy Capel ชายคนเดียวที่เธอรัก แต่ที่นี่ทำให้เธอนึกได้ว่าเธอไม่ชอบชุดที่รุ่มร่ามและจะไม่ฟูมฟายกับเรื่องของหัวใจอีก เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้นเมื่อได้มาพบกับเมืองแห่งนี้และความน่าพิศวงของที่นี่
“ไม่มีสิ่งใดงดงามไปกว่า
บุษราคัมน้ำงาม
ทอแสงแพรวพราย”
Gabrielle Chanel
ดินแดนตะวันออกที่ผสมผสานความเป็นตะวันตก เมืองที่บรรจบและหลอมรวมแผ่นดินและท้องฟ้า ผืนน้ำและแผ่นฟ้า เวนิสเปรียบประดุจกระเบื้องโมเสคที่หล่อหลอมซีกโลกตะวันออกและตะวันตกไว้ด้วยกัน หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของนครแห่งนี้ก็คือการปลดปล่อยและค้นพบตัวเองในเวนิส
ความสวยงามและเสน่ห์ดึงดูดของดินแดนแห่งนี้สะท้อนอยู่ในความลับของ CHANEL ได้อย่างไม่รู้จบ
เธอนำสไตล์ที่เรียบง่ายและสุขุมของตัวเองมาออกแบบโดยให้ตัดกับสีสันต่างๆ รวมทั้งสีทอง ผสมผสานความประณีตในแบบของเธอเข้ากับลวดลายการตกแต่งแบบบาร็อก ค่ำคืนในเวนิสช่วยให้เธอมองสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดวงจันทร์และดวงดาวที่งดงามต้องเคียงคู่และส่องสะท้อนบนผืนน้ำและแผ่นฟ้า ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ต้องดูลึกลับน่าค้นหาและร่าเริงชวนหลงใหล เธอสามารถปรับสมดุลระหว่างความเข้มและความสว่าง การตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยและการจำกัดขอบเขตได้อย่างลงตัว การเดินทางไปยังดินแดนที่ใกล้ซีกโลกตะวันออกครั้งนี้ทำให้เธอได้รับอิทธิพลจากความประณีตของศิลปะไบแซนไทน์ ความหมายของความงามสง่า และความเชื่อมั่นที่ทำให้คุณสามารถละทิ้งทุกสิ่งได้ยกเว้นตัวเอง
สิงหาคม ปี 1920
เดือนสิงหาคม ปีค.ศ. 1920 เป็นครั้งแรกที่ Gabrielle Chanel เดินทางออกจากฝรั่งเศสหลังจากที่ Boy Capel เสียชีวิต ความตายของเขาทำให้เธอทุกข์ทรมานแสนสาหัส การเยือนเวนิสครั้งนี้เป็นการเดินทางด้วยเรือที่ใช้เวลานานกว่าที่คาดแต่ก็ส่งผลดีกับเธอ เมื่ออยู่ในเมืองแห่งนี้ เธอได้รับการดูแลจาก José-Maria และ Misia Sert ผลงานสร้างสรรค์ของเธอจึงได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศในเวลากลางวันและยามค่ำคืน รวมทั้งนำเสนอสไตล์ที่เน้นลูกเล่นและการตกแต่งมากขึ้น
ในเวนิส Chanel ได้รู้จักกับศิลปินมากมาย อาทิ Serge Diaghilev ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ballets Russes นักวิจารณ์ศิลปะ และผู้สนับสนุนงานศิลปะ Serge Lifar ซึ่งเป็นนักออกแบบท่าเต้นและนักเต้นรำ Christian Bérard ซึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบ Lucien Lelong ซึ่งเป็นนักออกแบบเสื้อผ้า และ Boris Kochno ซึ่งเป็นนักแต่งบทร้องในละครเพลง เธอได้ร่วมมือและสร้างมิตรภาพกับศิลปินเหล่านี้อย่างแน่นแฟ้น
Misia Sert ซึ่งชำนาญเส้นทางและรู้จักสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในเวนิสแนะนำให้ Coco มาที่นครแห่งนี้ รวมทั้งพาไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมือง เช่น Lido หาดทราย และการแล่นเรือ ในตอนเช้าเธอจะอยู่ในชุดนอนเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวสวมทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์ถักรัดรูป ตอนบ่ายไปที่ Piazza San Marco และ Caffè Florian รับประทานอาหารเย็นหรือไปงานเต้นรำในตอนเย็นที่ร้านสุราเล็กๆ หรือวังที่โอ่อ่า และปิดท้ายด้วยการดื่มที่ Harry’s Bar
มิตรภาพ
Coco Noir มอบความหอมที่กระตุ้นให้นึกถึงผู้หญิงคนนี้ในเมืองแห่งนั้น และผู้หญิงทุกคนในปัจจุบันที่เลือกความเข้มข้นมากกว่าความจืดจาง การเติมเสน่ห์มากกว่าการละเลย และความหรูหราที่แท้จริงมากกว่าความหยาบกระด้าง
Gabrielle Chanel ทำให้สิงโตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเธอ
เธอเกิดวันที่ 19 สิงหาคม ราศีสิงห์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ลำดับที่ 5 ในจักรราศี เธอเชื่อในเรื่องโชคลาง สัญลักษณ์ และตัวเลข สิงโตซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและเสรีภาพจึงกลายเป็นเครื่องรางประจำตัวเธอในทันที
ความสมดุลระหว่างความเข้มข้นและความเบาบางกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เปี่ยมความหมายอย่างแท้จริงในสูตรผสม ความสดชื่นของเครื่องเทศจากเมล็ดพริกไทยสีชมพูและเกรปฟรุตที่ให้สีชมพู Tiepolo* อยู่ในกลิ่นแรกจะมอบความสดใส ร่าเริง และมีชีวิตชีวา จากนั้นตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนและสง่างามของมะลิสีขาวบริสุทธิ์ กุหลาบ และนาร์ซิสซัส
ปิดท้ายด้วยจังหวะที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบของกลิ่นพื้นฐานที่รวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเพื่อเปล่งประกายความหอมให้พร่างพราวทั่วทั้งบรรยากาศ
กลิ่นอายเหล่านี้พาเรากลับไปสู่ผลงานอันเป็นมรดกในอดีต และทำให้เราตระหนักว่าน้ำหอมได้รับความสำเร็จก็เพราะผู้หญิง และผู้หญิงประสบความสำเร็จได้ก็เพราะตัวเอง ซีดาร์ให้กลิ่นหอมแบบแห้งๆ ท่ามกลางความมีชีวิตชีวาของกลิ่นน้ำมันหอมและใบโรสเจอราเนียมซึ่งปลูกที่เมือง Grasse เติมเต็มความหอมเย้ายวนของดอกไม้นานาพรรณด้วยกลิ่นอายอ่อนๆ ของมินต์
Coco Noir ความหอมที่เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของ CHANEL นำเสนอความปรารถนาและความสุขุม ความลึกลับ และความสดใส ผสมผสานความโดดเด่นสไตล์บาร็อกและความคลาสสิกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
Mademoiselle ลดการประดับตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือยในยุคก่อนสงครามด้วยความเรียบหรูในแบบของเธอ Coco Noir เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเกี่ยวกับผู้หญิงด้วยการนำเสนอที่ซับซ้อนและงามสง่า
กลิ่นเกรปฟรุต
มะกรูดในคาลาเบรีย
___________
สารสกัดและกลิ่นเข้มข้นของกุหลาบ
กลิ่นเข้มข้นของมะลิ
กลิ่นนาร์ซิสซัส
ใบโรสเจอราเนียม
___________
ทองก้าบีนจากบราซิลและเวเนซูเอลา
แพทชูลีจากอินโดนีเซีย
แซนดัลวู้ดจากนิวแคลิโดเนีย
บูร์บองวานิลลา
ไวท์มัสก์ แฟรงคินเซนส์
เช่นเดียวกับพระราชวังในเวนิส ขวดน้ำหอม Coco Noir ซ่อนความลับและความมีชีวิตชีวาไว้เบื้องหลังโฉมหน้าที่หรูหราสูงสง่า ส่องสะท้อนประกายความสว่างเพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกับน้ำในความมืดที่นิ่ง และลึกล้ำ ขวดสีดำที่โดดเด่นเป็นประกายช่วยรักษาและบ่งบอกความลับของน้ำหอมที่อยู่ภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบ