บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

เรารู้จัก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ในฐานะนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทย และยังเป็นดาราที่คอยช่วยเหลือสังคมทำงานด้านสาธารณกุศล เป็นอาสาสมัครของมูลนิธิร่วมกตัญญูมานานกว่า 20 ปี

จนได้รับการยอมรับจากมูลนิธิร่วมกตัญญู แต่งตั้งให้เป็น ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และมีรหัสว่า ดารา 1 นอกจากบทบาทนักแสดงและอาสาสมัครคอยช่วยเหลือสังคมแล้ว อีกบทบาทนึง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์  ยังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีผลงานเด่นๆที่ผ่านมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ มนต์รักเพลงลูกทุ่ง, ตำนานกระสือ, ช้างเพื่อนแก้ว, เดอะโกร๋น ก๊วนกวนผี, ปัญญา เรณู, ปัญญา เรณู 2, ปัญญา เรณู 3 รูปูรูปี และล่าสุดกับภาพยนตร์ เรื่อง กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายวันที่ 16 มกราคม ศกนี้

จากนักแสดงแถวหน้า สู่การก้าวเข้ามาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ มีความเป็นมาอย่างไร

การที่มาเป็นผู้กำกับฯ เพราะเราทำงานวงการนี้มาประมาณ 30 ปี สิ่งที่ได้มาคือประสบการณ์ สิ่งที่ได้มาคือครูพักลักจำ เป็นอะไรที่เราอยู่เบื้องหน้ามานานเยอะมากแล้ว เราก็อยากจะเอาประสบการณ์ของเราที่ได้รับมา มาอยู่เบื้องหลังดู สิ่งแรกที่เราอยากจะทำอยากจะนำเสนอ ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้ไม่ได้เรียนมา จริงๆแล้วคนสมัยก่อนผู้กำกับฯดังๆ อย่าง คม อรรฆเดช, ฉลอง ภักดีวิจิตร, ไพรัช สังวริบุตร หรือใครก็แล้วแต่ที่รับรางวัลต่างๆ มาเค้าก็ไม่ได้เรียนมา สิ่งหนึ่งที่เค้ามีก็แค่ประสบการณ์ที่เค้าอยู่ในกองถ่าย บางคนอาจเป็นตากล้องมาก่อน เค้าจะรู้ว่าเค้าควรที่จะทำอะไรต่อไปยังไง ผมอยู่มา 30 ปี ผมคิดว่าผมน่าจะมีประสบการณ์พอที่จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้นักแสดงทำความรู้สึกกับหนังของเรา และเรื่องของเราได้ ความจริงแล้วในความคิดผู้กำกับฯ ก็อยากให้หนังของตัวเองสักเรื่องดังขึ้นมาสักเรื่อง แล้วอาจจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นโปรดิวเซอร์ หรือเป็นอย่างอื่นไป เป็นผู้กำกับฯจะเหนื่อย อย่างผมอนาคตอาจจะเป็นแค่ผู้อำนวยการสร้างอย่างเดียว แล้วจ้างผู้กำกับฯ มากำกับฯ ก็ได้ แต่เราก็ยังไม่ถึงเวลา รอให้ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดเสียก่อน ต้องนี้ผมก็กำกับฯหนังมาแล้ว 7 เรื่อง ซีดีอีก 5 เรื่อง

ภาพยนตร์ของคุณบิณฑ์ ส่วนมากจะเป็นในรูปแบบไหน แล้วต้องการสื่อให้เห็นถึงอะไรในภาพยนตร์

ในเรื่องนี้ผมยังคงสร้างสรรค์เรื่องราวและเขียนบทเองเหมือนเรื่องที่ผ่านมา โดยอิงจากประสบการณ์จริงของตนเองเมื่อครั้งเยาว์วัย และก็คิดขึ้นมาใหม่ให้ร่วมสมัยด้วย จนออกมาเป็นภาพยนตร์แนวคอมเมดี้-ดราม่า สนุกสนานเฮฮาตามสไตล์ผู้กำกับฯ รวมถึงแฝงไปด้วยสาระที่ทำให้คนดูนำกลับไปคิดอย่างเรื่องความกตัญญู ความสามัคคี ความรักใคร่ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันจะก่อเกิดเป็นความสำเร็จได้

เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมทำภาพยนตร์ผมตั้งใจทุกเรื่องอยู่แล้ว 100% ในการเขียนบทเอง กำกับเอง ผมก็หวังอยากให้ทุกเรื่องประสบความสำเร็จ ใครทำหนังแล้วไม่หวังว่าให้หนังประสบความสำเร็จมันเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อเรานำเสนอสิ่งหนึ่งให้กับคนดู คนดูอาจจะไม่ชอบใจหรือคนดูๆ แล้วไม่ถูกใจมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของคนดู อันนี้เราก็ไม่สามารถไปทำอะไรได้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าหนังของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ทุกเรื่องก็ไม่ใช่หนังที่เสียหายอะไรในการที่จะดู และผมก็ไม่ได้คิดว่าจะทำแต่หนังเด็กอย่างเดียว หนังผู้ใหญ่ก็มี แต่อยากจะนำเสนอหนังเด็กบ้าง ปีหนึ่งอาจจะมีหนังเด็กๆ ให้ดูบ้าง ก็หวังไว้ว่าน่าจะประสบความสำเร็จบ้างสักนิดก็ยังดี เอาว่าไม่ขาดทุน เอาว่าพออยู่ได้กำไรสักนิดก็โอเค คงไม่หวังกำไรเป็น 50-60 ล้านก็ไม่ได้หวังขนาดนั้น

กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ก็อย่าไปคาดหวังว่าจะต้องได้อะไรกับหนังมากเกินไป เพราะคนเข้าไปดูหนังแล้วมักจะคาดหวังอะไรมากเกินไป พอดูแล้วก็จะผิดหวัง ก็ดูแค่บันเทิงเริงรมย์ สบายใจ ดูกับครอบครัว ดูให้มันสนุกสนานไปเท่านั้น ร้อยกว่าบาทก็ถือว่าช่วย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ไป เพราะกำไรผมก็เอาไปช่วยเหลือคนอื่นเท่านั้นเอง อย่าคิดอะไรมาก ผมบอกอยู่แล้วว่าใครอยากจะช่วยเหลือผม ใครอยากจะสนับสนุนผม หรืออยากจะให้กำลังใจผมก็ไปดูหนังผมนะครับ ไปดูหนังผมแล้วได้รับรองความบันเทิงใจ

มุมมองของคุณบิณฑ์ เกี่ยวกับภาพยนตร์ในบ้านเรา ว่ากำลังจะไปในทิศทางไหน

ปัจจุบันคนดูชอบแนวคอมเมดี้ แนวเกี่ยวกับผีตลก ประมาณนี้ คนไทยอาจจะเกิดความเครียดมามากทั้งวันทั้งคืนแล้ว อยู่ๆ จะไปดูหนังให้เกิดความเครียดขึ้นมาอีกก็คงไม่อยากดู ถ้าหนังเรื่องนั้นๆ ไม่ดีจริงๆ หรือลงทุนมหาศาลจริงๆ เค้าก็คงไม่อยากดู สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะนำเสนอก็จะเป็นตลกฮาๆ แต่ไม่ไร้สาระ ไม่ตลกเถื่อนตลกแล้วพูดจาหยาบคาย คนดูต้องการดูตลกแล้วสนุกสนานเฮฮา เข้าไปดูแล้วถึงจะไม่ได้อะไรกลับไปแต่ก็ได้ความสนุกสนาน หัวเราะกันออกมาทั้งครอบครัว เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีดู ผมว่าสิ่งนี้คนไทยก็ยังต้องการอยู่

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หรือชื่อจริงว่า ท็อป บรรลือฤทธิ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 ที่อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบัน คือ จังหวัดสระแก้ว) มีชื่อเล่นว่า “ท็อป” เข้าสู่วงการด้วยการถ่ายแบบ และแสดงเป็นตัวประกอบ ก่อนจะมารับบทนำจากการแนะนำของ คมน์ อรรฆเดช ในเรื่อง “ตำรวจเหล็ก” คู่กับ มาช่า วัฒนพานิช ซึ่งเป็นนักแสดงใหม่ด้วยกันทั้งคู่ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจากละครโทรทัศน์ เรื่อง “แผลเก่า” ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยรับบทเป็น “ไอ้ขวัญ” แสดงคู่กับชุติมา นัยนา จากนั้นจึงมีผลงานที่เป็นที่รู้จักอีกคือเรื่อง “เหตุเกิดที่ สน.” เมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยรับบทเป็น หมวดปลิว นายตำรวจประจำ สน.

ผลงานเด่น ๆ ทางภาพยนตร์ได้แก่ บางระจัน เมื่อปี พ.ศ. 2544 รับบทเป็น “อ้ายทองเหม็น” ซึ่งได้รับรางวัลตุ๊กตาทองนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย และยังมีผลงานกำกับการแสดงจากเรื่อง ตำนานกระสือ ในปี พ.ศ. 2545, ช้างเพื่อนแก้ว ในปี พ.ศ. 2546, เดอะโกร๋น ก๊วนกวนผี ในปี พ.ศ. 2547 และ ปัญญา เรณู ในปี พ.ศ. 2554 นอกจากนี้ยังเคยรับบทเป็นพระราชาอินเดียในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่มาถ่ายทำในประเทศไทยด้วยคือ Alexander ส่วนผลงานละครโทรทัศน์ในระยะหลัง ๆ มีเพียงเรื่อง รุกฆาต ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2552 ในฐานะดารารับเชิญ

ในทางสังคม ยังเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นดาราที่ช่วยเหลือสังคม โดยทำงานเป็นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูมานานกว่า 20 ปี โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน

บิณฑ์ มีน้องชายฝาแฝดซึ่งเป็นนักแสดงด้วยเหมือนกัน คือ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาวิทยาการการจัดการจาก มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

Affiliation : บริษัท บิณฑ์ บูม บิสซิเนส จำกัด

รางวัลที่ได้รับ

รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม)

พ.ศ. 2529 – ตำรวจเหล็ก

พ.ศ. 2532 – รอยไถ

พ.ศ. 2543 – บางระจัน

รางวัลโทรทัศน์ทองคำ (ดารานำชายดีเด่น)

พ.ศ. 2531 – แผลเก่า

รางวัลเมขลา (ผู้แสดงนำชายดีเด่น)

พ.ศ. 2532 – คนเหนือดวง

You may also like...