ได้มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมชม นิทรรศการประวัติศาสตร์โลก 100 ปี ไททานิค ที่ทาง BEC taro ได้นำเรื่องราวโศกนาฎกรรมระดับโลก ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปนานถึง 100 ปี แต่ผู้คนก็ยังคงให้ความสนใจและยังค้นหาคำตอบกันอยู่ มาเปิดประสบการณ์ให้คนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด กับเรื่องราวของเรือทีไม่มีวันจม และเรื่องเล่าจากวัตถุโบราณที่ถูกงมขึ้นมาจากเรือ ไททานิค ที่ยังจมนิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติค
โดยส่วนตัว ค่อนข้างที่จะประทับใจในการจัดนิทรรศการครั้งนี้พอสมควร เนื่องจากภายในฮอลล์ มีการจัดฉากให้ผู้เข้าชมรู้สึกเหมือนขึ้นไปอยู่บนเรือที่หรูหราที่สุดในศตวรรษที่ 20 บรรยากาศภายใน หนาวเย็นจับใจคล้ายๆ อุณหภูมิที่ต่ำถึง -1°c กันเลยทีเดียว ข้าวของทุกอย่างที่เคยจมอยู่ก้นมหาสมุทร มีสนิมเกราะเกรอะกรัง บัดนี้มีการจัดวางไว้อย่างสวยงาม พร้อมคำบรรยายในแต่ละส่วนอย่างชัดเจน เลยอดคิดถึงกิจกรรมดีๆที่ทาง BEC เทโร ได้สรรหามาให้คนไทยได้มีโอกาสชมกัน ตั้งแต่ ดิสนีย์ ออน ไอซ์, Bubble Show, Micky’s Music Festivalฯลฯ และ คอนเสริต์ระดับโลกจากหลากหลายศิลปิน อาทิ x japan, eric clapton,Lady gaga ฯลฯ ผลงานเหล่านี้ไม่อาจสำเร็จได้ดวยคนๆเดียวแน่ หากคงต้องมีการทำงานกันเป็นทีม
แต่ใครล่ะที่เป็นหัวเรือใหญ่ และนำกิจกรรมดีๆเหล่านี้มาให้คนไทยได้ชมกัน ถ้าไม่ใช่คุณ รักษิต รักการดี ผู้อำนวยการฝ่ายคอนเสิร์ตและกิจกรรมพิเศษ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ขับเคลื่อนกิจกรรมดีๆเหล่านี้ มาเป็นระยะเวลากว่าสิบปีแล้ว
หน้าที่และความรับผิดชอบในตำแหน่งนี้
ผมทำงานที่นี่มาเกือบ 10 ปี เริ่มต้นจาก โปรเจ็คท์เมเนเจอร์ ใหม่มาก แล้วเรียนรู้งานจากเจ้านายขอบเขตความรับผิดชอบ ก็เหมือนกับผู้จัดการโครงการทั่วไป คือดูแลภาพรวมทั้งหมดของโครงการ ดูแลเรื่องของการทำการตลาด การโฆษณา ทีมหาสปอนเซอร์ ทีมพีอาร์ จะทำงานร่วมกัน ทำงานร่วมกันเป็นทีม มีนโยบายกำหนดทิศทางร่วมกันแล้วก็ทำงานให้เสร็จสิ้นจบโปรเจ็คท์ไปได้ ข้อดีของการทำงานลักษณะนี้ คือตัวไลฟ์เซอร์เคอร์มันค่อนข้างจะสั้น โปรเจ็คท์นึงอาจจะอยู่ซักสามเดือนหกเดือน ก็จบ พอจบก็เริ่มต้นโปรเจ็คท์ใหม่ มันก็จะมีการเรียนรู้ที่ชัดเจน พอไลฟ์เซอร์เคอร์มันสั้นเราก็จะเรียนรู้ได้ว่าครั้งแรกที่เราทำมันผิดพลาดตรงไหน เราแก้ไขได้ตรงไหน ครั้งต่อมาพอเราทำเราแก้ดูซิ ผลลัพธ์เป็นยังไง เพื่อจะเรียนรู้ต่อไป เพราะฉะนั้นการทำงานลักษณะนี้ มันจะช่วยเรา ถ้าเราทดลองทำสถิติ เราไม่ปล่อยให้มันไหลผ่านไปเฉยๆจะได้เก็บข้อมูลแล้วนำมาปรับปรุงครั้งต่อไปได้ แล้วจะเห็นภาพที่ชัดเจน
ภารกิจเร่งด่วนช่วงนี้
ส่วนใหญ่เราจะทำงานล่วงหน้าประมาณหกเดือน ตอนนี้ก็เพิ่งจบงานของควอเตอร์สองไป หลักๆก็จะเป็นเลดี้กาก้า ช่วงควอเตอร์สามก็จะมีไททานิค ควอเตอร์สี่ก็จะมีคอนเสิรต์ที่นำเข้ามา และมีดิสนีย์ไลฟ์ที่จะเป็นการแสดงสดบนเวที เรากำลังวางแผนสำหรับปีหน้าที่จะเป็นปีครบรอบ 15 ปีของบีอีซีเทโร เป็นงานใหญ่ ขออุบไว้ก่อน แต่ที่แน่ๆปลายปีก็จะมีพิทบูล ตอนนั้นน้ำท่วมเค้าไม่ได้มา อาจจะกลับมาอีกรอบนึง มีวงใหญ่ที่คิดว่าเค้าน่าจะสนใจมาเมืองไทย ปีหน้า เกี่ยวกับดนตรี คอนเสริต์ ส่วนตัวเอ็กซิบิชั่นเราก็ดูอยู่หลายอัน คุยอยู่กับทางเมืองจีน เป็นโชว์ซัมเมอร์พาเลซของปักกิ่ง นานจิงมิวเซียม มีหลายที่ คือเราทำงานล่วงหน้าไปสิบเดือน สิบสองเดือน ที่เป็นโปรเจ็คท์ใหญ่ปีหน้า จะเป็นแพททอมออฟดิโอเปร่า ละครเวที
การแก้ไขปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้น คุณผ่านมันไปได้อย่างไร
การทำงานลักษณะของอีเว้นท์และงานคอนเสริต์ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนมากกว่า เรื่องของการทำงานเป็นทีม ผมเชื่อว่าถ้าเรามีอินพุทที่ถูกต้องให้กับคนเค้าก็จะเอ้าท์พุดออกมาให้ถูกต้องเหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจปัญหา เราก็จะเข้าใจว่าปัญหาส่วนใหญ่มีทางแก้หรือถ้ามันแก้ไม่ได้ เรารับมันได้ตรงจุดไหน ผมว่าคนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาจริงๆเป็นเพราะไม่ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาสำหรับผม ผมคิดว่าเราต้องรับปัญหาให้ได้ก่อนแล้วก็มองหาทางแก้ไข ว่ามีทางใดบ้างอาจจะมี สอง สาม สี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบทาง ถ้าสิบทางแก้ไม่ได้จริงๆเราก็ต้องยอมรับความผิดพลาดไป รับความสูญเสีย รับผลลัพท์จากความผิดพลาดนั้น มันก็จะจบปัญหา ส่วนเรื่องของคน พอเราทำงานเราไม่ไดทำงานคนเดียว ไม่ใช่วันแมนโชว์ สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้เป็นเวลาสิบปีที่ผ่านมา คือเราต้องมีความไว้วางใจกันและกัน ถ้าเราไม่ไว้วางใจใครเลย เราทำงานกับคนอื่นไม่ได้ เราก็จะดึงเอางานกลับมาทำเองตลอดเวลา มันก็จะโหลดตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ผมมีหลักคือ ต้องไว้วางใจ ต้องสร้างคนมากกว่าใช้คน ถ้าเค้าทำงานเป็นเราก็จะถูกแบ่งภาระไปโดยปริยาย ถ้าเราไม่สร้างเค้าขึ้นมาให้เค้าทำงานได้งานก็จะกลับมากองที่เราอยู่ดี บางคนชอบใช้คน ใช้ๆๆๆ แต่คนที่เค้าใช้ไม่ได้เติบโตขึ้น งานก็ไม่ไปไหน งานก็อยู่ที่เราเองอยู่ดี ผมมองว่าเราอยากเติบโตมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องให้ทีมเก่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าทีมเก่งเราก็รับโปรเจ็คท์ได้มากขึ้น แล้วก็ทำงานได้มากขึ้น จะเป็นการขยายโดยอัติโนมัติ ถ้าเกิดระหว่างทีมเราไม่สามารถจะเชื่อใจได้แล้วกระจายงานได้ ผมว่ามันก็ไม่ต่างจากการที่เราทำงานคนเดียว
ในการทำงาน มีบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจไหม
จริงๆมีหลายที่ แต่เนื่องจากผมเป็นคริสเตียน ผมจะมีคำสอนของพระเยซูที่ผมชอบมาก คำๆนึงคือให้ Grive and take จงให้ แล้วท่านจะได้รับ ถ้าเราอยากจะให้คนอื่นทำอะไรให้กับเรา เราต้องทำก่อน แทนที่จะเป็นฝ่ายตั้งรอเราต้องเป็นฝ่ายให้ก่อน ให้แล้วเราจะได้รับกลับมาเอง เป็นส่วนนึงที่ผมยึดถือปฎิบัติมากว่าถ้าเราอยากจะได้ความไว้วางใจจากลูกน้อง เราต้องให้เค้าก่อน ถ้าเราอยากจะได้ความเคารพจากคนอื่น เราต้องเคารพเค้าก่อน ปัญหาทุกวันนี้ผมว่าคนมองตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วก็เรียกร้องจากมุมตัวเอง ชั้นต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่คน Take ไม่มีคน Grive สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นปัญหาเพราะว่าทุกคนก็จะหวงอาณาจักรตัวเองหมด ไม่อยากให้ใครแต่จะเอาของคนอื่นก็เลยขัดแย้งกัน มันจะมีเรื่องเล่าที่ผมพูดบ่อยๆก็คือว่า เวลาที่คนหนาว คนที่อยู่ในป่า เค้าก็จะมาที่กองไฟ กองไฟเป็นของกลาง ถ้าทุกคนมาที่กองไฟ มาตัวเปล่าแล้วก็มาหยิบไฟออกไปกลับบ้าน ก็ได้ไฟไปนิดหน่อย พออุ่น ฟืนมันก็จะหมดไป แต่ถ้าทุกคนเปลี่ยนความคิดที่ว่าทุกคนมีไฟมาคนละชิ้นแล้วมากองรวมกัน มันก็จะมีพลังมากกว่ามาดึงออกไป นั่นคือหลักที่ผมถือว่าคุณให้แล้วคุณจะได้รับ เริ่มต้นที่เราที่จะเป็นผู้ให้เค้าไปก่อน
วันว่างของคุณรักษิต
จริงๆวันว่างไม่ค่อยมี แต่ผมก็จะพยายามแบ่งเวลา ผมแบ่งชีวิตออกเป็นสามส่วน สาวนแรกเป็นส่วนที่เป็นเรื่องของการทำงาน จะทำงานทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ พยายามเป็นอย่างนั้น ส่วนที่สองก็จะเป็นส่วนของครอบครัว ก็จะเป็นภรรยา ลูกสาว เพื่อนๆ สุดท้ายก็จะเป็นส่วนของตัวเอง ใช้เวลาส่วนตัว ไปโบสถ์ด้วยไปคริสจักรวันอาทิตย์ ผมพยายามที่จะบาลาสน์ให้ไม่ใช้เวลากินกันเท่าไหร่ ผมว่าคนส่วนใหญ่ทำงานถึงดึกแค่ไหนก็จะไม่มีวันหมด ต่อให้อยู่ออฟฟิศถึงเที่ยงคืน งานก็ไม่เสร็จอยู่ดี ผมเคยฟังผู้ใหญ่คนนึงพูดว่า คุณต้องตัดสินใจที่จะหยุดทำงานแล้วก็คิดจะทำงานที่มีอยู่ตรงหน้ายังไงให้เสร็จทันเวลา มากกว่าที่จะทำงานไปเรื่อยๆแล้วมันไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหมด ผมก็จำแล้วก็ทำงานเป็นเวลา กลับบ้านก็คือกลับบ้าน จะเล่นกับลูก จะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ซื้อของ ช็อปปิ้งกัน ก็เป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว แต่ถ้ามีโทรศัพท์ด่วน ผมก็จะรับโทรศัพท์ แต่ก็จะไม่ไปนั่งทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะสุดท้ายผมเชื่อว่าความสุขของคนมาจากทุกด้านของชีวิตมากกว่าด้านใดด้านนึง ถ้าเกิดผมมีความสุขเรื่องของการทำงานมาก แต่ครอบครัวผมแย่ ผมก็คงไม่มีกำลังใจมาทำงาน ถ้าเกิดครอบครัวมีความสุขมากแต่ถ้าไม่มีงานทำตกงาน ครอบครัวเราคงไม่มีความสุขอยู่ดี ผมว่าทุกอย่างมันต้องสมดุลกันอย่างพอดีๆเหมือนกับว่าเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรารู้ว่าเรากำลังทำงานเพื่ออะไร เรากำลังทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร เพราะว่าชีวิตเราก็สั้นๆนะ ไม่กี่ปีก็หมดอายุขัยแล้ว เราไม่น่าจะไปเสียเวลากับสิ่งที่ทำแล้วเราไม่รู้ว่าเราทำเพื่ออะไร
งานด้านศิลปวัฒนธรรมในบ้านเรา
ผมเรียนสถาปัตย์มาและผมค่อนข้างที่จะอินกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมมาก ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่าคนไทยสมัยนี้ที่มีปัญหาเยอะเพราะเค้าห่างจากศิลปะ เค้าห่างจากสุนทรียภาพของความงามของศิลปะจริงๆเมื่อก่อน คนสมัยก่อน ไม่มีทีวี แต่มีวัด ในวัดมีทั้งประติมากรรมที่สวยงาม มีรูปภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีลานกิจกรรมให้คนในชุมชนมาใช้เวลาร่วมกัน มีวัฒนธรรมที่ดีเช่น จะก่อกองทราย จะเป็นงานวัด คือชุมชนมันเป็นคอมมูนิเคต มีการสื่อสาร มีการรวมตัวของชุมชน มันมีการได้เห็นศิลปะ แล้วจิตใจคนพอเห็นศิลปะแล้วมันจะถูกหล่อหลอมให้สงบให้เค้ารู้สึกว่าจิตใจอ่อนละมุนขึ้น จะไม่หยาบกระด้าง ไม่หยาบคาย แต่พอสมัยนี้ไม่รู้ว่าคนจะเห็นอะไรที่เป็นศิลปะจริงๆ คนเห็นอะไร เห็นแต่ทีวี ซึ่งเป็นศิลปะหยาบเป็นคอมเมอร์เชียลอาร์ท ละครหรือโฆษณา มันไม่ใช่เป็นศิลปะที่จะหลอมจิตใจคนให้อ่อนละมุนได้ มันยากมาก แล้วจะเห็นอะไรอีก เห็นตึก ส่วนตัวผมเรียกว่าเป็นฮาร์ดสเคป คือเป็นอะไรที่แข็งกระด้าง
ชีวิตคนเราพอตื่นขึ้นมาปุ๊ปบางคนก็เข้า facebook ก่อนแล้ว จะเจอแต่เรื่องนี้ เจอแต่รถยนตร์รถติด มาทำงาน โอกาสที่จะได้เห็นศิลปะ โอกาสที่จะได้เห็นความงามมันยิ่งน้อยมาก นับวันจิตใจคนก็ยิ่งแข็งกระด้างและหยาบคาย ผมเชื่อว่าส่วนนึงอยากจะแก้ปัญหาเรื่องของบุคคล ภาพรวมเราต้องเอาศิลปะเข้ามาหาเค้า ดนตรีผมว่ามันก็แปลกลงไปทุกวัน เคยพูดเรื่องนี้ในรายการที่มาสัมภาษณ์เรื่องคอนเสิรต์ ผมว่าคนสมัยนี้เสพเนื้อร้องมากกว่า คนฟังเนื้อร้องมากกว่าฟังดนตรี คนติดในคำมากกว่าดนตรีโดยรวม นักดนตรีกับศิลปินผมว่าไม่ใช่คนเดียวกัน พอเค้าเป็นคนละคนกันก็จะสร้างงานออกมาเป็นคอมเมอร์เชียล ผมว่าถ้าบ้านเราลดคอมเมอร์เชียลอาร์ทลงมาหรือเท่าเดิมก็ได้ แต่เพิ่มศิลปะที่ให้คนเข้าถึงได้มากขึ้น ผมว่าคงจะช่วย ตอนเรียนอยู่ที่นิวยอร์ค ค้นพบว่าบ้านเมืองของเค้ามีกฎหมายที่ดี เช่น ถ้าคุณจะสร้างตึกสูงคุณต้องมีพื้นที่ให้กับสวนสาธารณะ ใหักับคนทั่วไป ต้องมีงานประติมากรรมที่ดี ให้คนทั่วไปมองเห็น ที่นิวยอร์คหน้าตึกจะมีรูปปั้น จะมีงานประติมากรรมจะมีส่วนที่เป็นสวนสาธารณะให้คนทั่วไปใช้งานได้ ถ้าคุณอยู่ในเมือง คุณต้องเติมอะไรกลับให้เมืองด้วย แต่บ้านเราไม่มี พอคนจิตใจแข็งกระด้าง พอคนเริ่มหยาบขึ้น คนก็จะมองอะไรที่เป็นสิ่งฉาบฉวย ลืมนึกถึงสิ่งที่มันสวยงาม ที่เป็นศิลปะ ที่ทำงานนี้ได้ ที่ทำงานนี้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะ เราจะดึงกลับเข้ามาให้คนไทยได้ ได้เห็นบ้าง ผมหวังนะ ผมอยากจัดงานที่เป็นดาวินชี แวนโก๊ะห์ ซึ่งตอนนี้เค้าจัดอยู่ที่อเมริกาเป็นสื่อผสม อยากให้คนได้มาเห็น อยากให้เห็นภาพโมนาลิซ่าว่าเค้าเขียนกันละเอียดขนาดไหน ได้เห็นสิ่งของที่ตลอดชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เห็น ได้เห็นงานสมัยศิลปะสมัยอียิปต์ ได้เห็นของดีๆที่ทั่วโลกเค้าได้เห็น ผมว่ามันน่าจะช่วย อย่างน้อยก็จะช่วยให้คนลดความเห็นกระด้าง อยู่ในจุดที่เป็นความอ่อนโยนบ้าง
ประเทศไทยเราเริ่มจากศิลปะที่ละเอียดอ่อนมาก ประเทศเราเป็นประเทศที่ได้เปรียบ เพราะว่าอยู่ในโซนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ลำบาก ไม่มีหิมะ ไม่หนาว ไม่ร้อนเกินไป น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ถึงได้มีเวลาเยอะ เยอะขนาดมานั่งแกะผลไม้ ผมไม่เคยเห็นชาติไหนนั่งแกะแตงโม แกะพริกหยวก คือเวลามันเยอะ ขนมหวานยังประดิดประดอยเลย เทียบกับฝรั่ง เค้าอบขนมปังเสร็จก็เสร็จแล้ว ก็กินแล้ว คนไทยเอามาใส่โน่นใส่นี่แปะทองด้วยบางครั้งสวยงามแทบจะไม่กล้ากินเลย รำไทย ชุดไทย เรือไทยโบราณเอากระจกมาแปะทีละชิ้น ละเอียดมีเวลา เป็นช่างจริงๆแต่ว่าพอถึงยุคอุตสาหกรรมคนเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ มุมมองคนเปลี่ยนไป สมัยรุ่นลูกหลานจะมีช่างสิบหมู่ หรือคนที่ทำเบญจรงค์จริงๆเหลืออยู่รึเปล่า ญี่ปุ่น คนจีน เค้าเก็บหมดแล้วคนพวกนี้ คนทำโขนเค้าต้องเก็บแล้วเก็บเป็นศิลปินแห่งชาติ รัฐบาลต้องออกโรงแล้ว ต้องเก็บคนเหล่านี้ไว้เพราะว่ามันเป็นความรู้ของเรา ถ้าหมดไปแล้วมันก็จะไม่เหลืออะไรแล้ว รุ่นลูกผมจะมีใครทำเรือพระที่นั่งหรือจะมีคนที่ทำหัวโขนอีกรึเปล่า คือไม่รู้จริงๆเทียบกับข่าวดาราก็มีแต่คนพูดถึง แต่ไม่เห็นมีใครพูดเรื่องวัฒนธรรมเลย แล้วคาดหวังว่าเด็กรุ่นใหม่จะทำอะไร มีไหมที่ทำรายการให้เด็กแข่งกันทำหัวโขน มีแต่แข่งขันกันร้องเพลงๆ ร้องเพลงมาก็เป็นดารา น่าจะมีใครทำเรื่องตรงนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราว บ้านเราน่าจะเดินทางสายเดียวกับญี่ปุ่น ถึงเค้าจะบ้าฝรั่งแต่ก็มีทางเดินของเค้าเอง บ้านเราจะบ้าฝรั่งก็ได้นะแต่คนไทยต้องมีหนทางในการเดินด้วย ทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา อย่าไปมัวต่อยอดฝรั่ง ซึ่งฝรั่งเค้าก็มองกลับมาเมืองไทย อยากได้ของไทย เมื่อไหร่ที่เราทำนายขนมต้ม คนไทยดังเท่ากับนินจาญี่ปุ่นได้เมื่อไหร่ นี่คือจุดที่เราควรจะทำ
กิจกรรมต่อไปที่ทาง BEC เล็งไว้ คงไม่พ้นงานทางด้านศิลปวัฒนธรรม ผมอยากจะนำ ตุตันคาเมน ดาวินชี แวนโกะห์เข้ามา ให้คนไทยได้มีโอกาสชมนิทรรศการดีๆทัดเทียมกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ผมหวังว่ามันจะดีขึ้น
ได้ยินกิจกรรมครั้งต่อไปที่ทาง BEC เล็งไว้แล้ว อดที่จะดีใจและตื่นเต้นกับคนไทยไม่ได้ การที่เรามีนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมให้เสพนั้น ดีแค่ไหนแล้ว ไม่ต้องเหลือเฟือเท่ากับที่ต่างประเทศเค้ามีกัน นับว่าดีถมถืด เพราะบ้านเรางานทางด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หวังที่จะให้ภาคส่วนไหนมาสนับสนุน คงไร้ความหวังยิ่งกว่าลงไปกู้ซากเรือไททานิคขึ้นมาซะอีก อย่าหวังจะให้ถึงแก่นเลย แค่เปลือก ยังหาไม่เจอ !
Text : Tul