เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายจนได้สำหรับหนังเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหากาพย์ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สานต่อความสำเร็จมาจาก สุริโยทัย นับเป็นหนังที่ทำลายสถิติหลายอย่าง ทั้งการถ่ายทำ(จากภาคแรก-ภาคล่าสุด)ที่ยาวนานกว่า10ปี
ใช้ทุนสร้างสูงเกือบ 1000 ล้านบาท โดยเฉพาะ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี ที่ต้องเลื่อนคิวฉายมาหลายครั้งเนื่องจากมีปัญหาอุบัติเหตุไฟไหม้ฟิล์มที่เป็นข่าวครึกโครม จนต้องถ่ายทำใหม่หลายฉาก
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี น่าจะเป็นหนังเรื่องท้ายๆของไทยที่ใช้ฟิล์มในการถ่ายทำ เนื้อหาภาคนี้เล่าถึง สงครามครั้งใหญ่ที่สุดของชาวสยาม เมื่อพระเจ้านันทบุเรง สั่งให้ มังสามเกียด หรือ พระมหาอุปราชา ยกทัพใหญ่มาปราบอโยธยา โดยฝ่ายไทยมี สมเด็จพระนเรศวร ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ นำทัพออกรบและทำยุทธหัตถีครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์เพื่อตัดสินชะตาบ้านเมือง
ตัวหนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 เป็นหนังแนวประวัติศาสตร์สงคราม ภาคลดฉากแอ็คชั่นลงเยอะและเพิ่มฉากดราม่าเข้าไปมาก ในศึกนันทบุเรงช่วงแรก มีกลิ่นอายของหนังสงครามคล้ายกับ Red Cliff ของ จอห์นวู มีการใช้กลศึกต่อสู้กัน มหาเถรคันฉ่อง นั้นแทบจะเป็นตัวแทนของ ขงเบ้ง ได้เลย เสียดายที่หลังจากนั้นหนังกลับเลือกที่จะเน้นไปที่ความดราม่าเกือบหมด พอกลับมาถึงไฮไลต์ของหนังคือ ฉากยุทธหัตถี แม้ผู้กำกับจะให้เวลามากพอสมควรแต่ก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นหรือลุ้นระทึกเท่าใด
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 ยุทธหัตถี
การดำเนินเรื่องเน้นอิงความจริงตามประวัติศาสตร์เกือบ100% จึงไม่มีส่วนไหนที่สร้างความประหลาดใจ ตัวละครที่โดดเด่นยังคงเป็นตัวหลักๆไม่กี่ตัว อาทิ สมเด็จพระนเรศวร พระราชมนู นันทบุเรง พระมหาอุปราชา ที่มีขโมยซีนก็เห็นจะเป็น ไอ้ขาม ซึ่งจู่ๆก็มีบทบาทเพิ่มเข้ามาเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อดีคือพอที่จะสร้างสีสันและรอยยิ้มได้บ้าง ส่วนตัวเสียดายตัวละคร ออกพระชัยบุรี กับ ออกพระศรีถมอรัตน์ คู่หูที่มีมุขมาให้คนดูคลายเครียดในภาคแรกๆ คาแร็กเตอร์โดดเด่น แต่มาภาคนี้ถูกตัดหายไปเลย เช่นเดี่ยวกับ ทหารเสือพระนเรศวรคนอื่นๆ นอกจากนี้ การสูญเสียของตัวละครบางตัวก็ดูจงใจเกินไป ทำให้อารมณ์ความซาบซึ้งดูขัดๆ
กระนั้น คนที่ภาคก่อนๆแทบไม่มีบทอย่าง พระสุพรรณกัลยา ในภาคที่ชื่อ ยุทธหัตถี เรากลับได้เห็นเธอออกมาแสดงซีนอารมณ์บ่อยครั้ง ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นปัญหาเรื่องการจัดการกับตัวละครที่มีมาก ซึ่ง หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ผู้กำกับ เลือกที่จะใช้ภาคสุดท้ายบอกเล่าสรุปความที่ค้างคาทั้งหมดให้จบลง แต่ด้วยระยะเวลาเพียง130นาทีนั้น ถือว่าน้อยเกินไป คนดูจึงได้พบกับฉากจบที่เหมือนจะจบ แต่ก็ยังไม่จบ
จุดเด่นของ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี คือระบบเสียงที่กระหึ่มลั่น ปลุกเร้าอารมณ์ ช่วยส่งให้ฉากแอ็คชั่นดูสมจริงมากขึ้น ด้านซีจียังดูไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร ฉากพื้นหลังไม่เนียน บางครั้งดูลอยออกมาแบบเห็นได้ชัด ถือว่าช่วงเวลาที่หนังฉายเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองของเราในตอนนี้ดี คำพูดหลายๆอย่างของตัวละครเป็นได้ทั้งการสอนสั่งและเตือนสติ แน่นอนว่ามีการเชิดชูเกียรติวิรชนคนกล้าที่ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องประเทศชาติด้วย จุดประสงค์ก็ไม่พ้นให้ผู้ชมมีความรู้สึกรักชาติรักแผ่นดิน
เรื่องของการแสดง ตั๊ก นภัสกร ในบท พระมหาอุปราชา ฝ่ายพม่าถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม แม้บางซีนเขาดูจะเล่นใหญ่เกินไปบ้าง แต่การรับส่งกับ ต้น จักรกฤษณ์ ที่แสดงเป็น นันทบุเรง เข้าถึงอารมณ์มาก ทั้งในส่วนของความสัมพันธ์แบบ พ่อ-ลูก และ พระราชา-เจ้าชาย กลายเป็นว่าหลายคนรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของ มังสามเกียด ผู้นี้ ผิดกับคู่ฝ่ายไทย ฉัตรชัย เปล่งพานิช ที่เล่นเป็น สมเด็จพระมหาธรรมราชา ส่งความรู้สึก มาแบบเต็มๆในฉากสั่งเสีย ทว่า พ.ท. วันชนะ สวัสดี ในบท สมเด็จพระนเรศวร กลับรับมาได้ไม่หมด ทำให้คนดูไม่อิน ซึ่ง พ.ท. วันชนะ ทำได้ดีในฉากต่อสู้และการพูดปลุกใจมากกว่า
ไม่อาจบอกได้เต็มปากว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 5 เป็นภาคที่ดีที่สุดของหนังชุด ตำนานสมเด็จพระนเรศวร (และอาจไม่ใช่ภาคสุดท้าย) แต่ใครที่เคยดูภาคก่อนๆมาแล้ว การไปชมภาคยุทธหัตถีเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้ทั้ง 5 ภาคถูกเรียงเป็น 1 เดียวอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนั้นคือพันธกิจที่ท่านมุ้ยและทีมงาน เหนื่อยหนัก ตรากตรำ ใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตทำจนสำเร็จ และฝากไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยต่อไป
BUGABOO NEWS / บทวิจารณ์โดย นกไซเบอร์
สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ (นกไซเบอร์)
จบด้านขีดๆเขียนๆ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ เป็นคนชอบดูหนังมาก ดูได้ทุกแนว เมื่อดูจบแล้วมีอะไรค้างคาในใจก็จะมาระบายออกลงในบล็อกส่วนตัวเงียบๆ ใช้นามปากกาว่า นกไซเบอร์