สไนเปอร์ หรือ พลแม่นปืน เป็นทหารหน่วยสำคัญในทุกสงคราม ในความชุลมุนหรือความเงียบของสมรภูมิรบ พวกเขาสามารถซุ่มปลิดชีพข้าศึกได้จากระยะไกลโดยที่เหยื่อไม่ทันรู้ตัว แง่หนึ่งผู้คนสรรเสริญในความแม่นยำ ความชำนาญในการใช้อาวุธปืนยาวของพวกเขา ทว่า หลายคนก็ตราหน้าพวกเขาว่าเป็นคนขี้ขลาด เป็นหมาลอบกัดที่ฆ่าคนแบบหลบซ่อนในที่ลับหรือมุมมืด
ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกกลางดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการบาดหมางของศาสนาคริสต์และอิสลาม โลกไม่มีวันเหมือนเดิมหลังเหตุการณ์กราดยิงนิตยสารชาร์ลีแอบโดในฝรั่งเศส หนทางยุติสงครามต่อต้านก่อการของสหรัฐฯ กับประเทศยุโรปดูรางเลือน เช่นเดียวกับความสิ้นหวังของสันติภาพในดินแดนอาหรับ
การเข้าฉายของ American Sniper น่าจะมีส่วนทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางแย่ลงอีก หนังสร้างจากหนังสือขายดีประจำปี 2012 ของ คริส ไคลย์ พลซุ่มยิงมือหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหน่วยซีลสหรัฐฯ ที่ปลิดชีพคนมา 160 รายในเวลา 10 ปี เป็นทหารอเมริกันซึ่งถูกกลุ่มก่อการร้ายตั้งฉายาว่า ปีศาจ พร้อมค่าหัวสูงถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพยนตร์กำกับโดย คลินต์ อีสต์วูด และมี แบรดลีย์ คูเปอร์ นักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ
หนังเล่าถึงชีวิตของ คริส ไคลย์ แบบเจาะลึก ละเอียด ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันที่ลั่นกระสุนสังหารชีวิตแรกในต่างแดน สะท้อนผลกระทบของสงครามที่มีต่อชายคนหนึ่งผ่านมุมมองส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องสภาพจิตใจ ขณะเดียวกันก็ฉายภาพความเป็นอเมริกันฮีโร่ในตัวเขา ยึดโยงจากความสามารถในการยิงปืนที่แม่นยำและความเสียสละ ทุ่มเทเวลาที่ควรจะอยู่กับครอบครัวมาให้กับประเทศ ประเด็นศาสนามีการนำสัญลักษณ์บางอย่างมาใช้บ้าง แต่ก็จับเพียงผิวเผิน
บทแต่งเติมเนื้อหาเพิ่มพอสมควร มีจุดให้ลุ้นบ้าง จุดหลุดก็เยอะ บางส่วนก็ไม่สมจริง อย่าง มุสตาฟา (ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงไหม) มือสไนเปอร์ฝ่ายอาหรับ ที่หนังบอกว่าเขาได้เหรียญทองจากกีฬายิงปืนโอลิมปิกถูกสร้างขึ้นมาเป็นศัตรูคนสำคัญของ คริส กระนั้นฉากดวลไรเฟิลของสองนักแม่นปืนก็สั้นและง่ายเกินว่าจะเป็นไฮไลต์ของหนัง จุดนี้เป็นรอง Enemy at the Gates หนังแนวพลซุ่มยิงคล้ายกัน และความบ้าบิ่นรักเพื่อนของ คริส ที่สลัดการพรางตัวลงจากยอดตึกมาร่วมตะลุมบอนกับศัตรู ดูขัดกับตำแหน่งของสไนเปอร์มากๆ
เมื่อนำภาพรวมมาเทียบกับหนังสงครามในเมืองกลางทะเลทรายเรื่องก่อนๆ จึงจัดว่าไปไม่สุดสักทาง แอ็คชั่นไม่สนุกเข้มข้นเท่า Black Hawk Down การถ่ายภาพ การบีบคั้นอารมณ์ยังด้อยกว่า The Hurt Locker สุดท้าย ดราม่าชีวิตทหาร มิตรภาพของเพื่อนพ้อง ก็สื่อออกมาไม่กระทบใจเหมือนเรื่องของทีมนาวิกโยธินใน Lone Survivor ผู้ชมแค่นับถือในความกล้าหาญของ คริส แต่มิอาจยกย่องในสิ่งที่เขาทำ ดูแล้วผมออกจะสงสารครอบครัวของเขาซะมากกว่า
แม้จะมีเนื้อหาอิงการเมืองไม่มากแต่ American Sniper พยายามชูความเป็นตำรวจโลกของสหรัฐฯเข้าไปมากมาย สร้างความถูกต้องด้วยคำพูดของ ไคลย์ ที่ว่า ทุกคนที่ถูกเขาสังหารเป็นคนไม่ดี สิ่งที่เขาทำเป็นไปเพื่อปกป้องเพื่อนๆ ครอบครัว ประเทศชาติ มันเป็นหน้าที่เขาจึงไม่รู้สึกผิด เช่นเดียวกับการใส่ฉากที่มีธงชาติสหรัฐฯนับ 10 ฉาก ถ่ายทอดแต่ความสูญเสียของฝ่ายตัวเอง รวมถึงเน้นความโหดเหี้ยมของกลุ่มอัลกออิดะห์ ทั้งหมดนี้เป็นการมองด้านเดียว แถมยังด้วยสายตาอคติ อาทิ ทั้งสองฝ่ายฆ่าเด็กเหมือนกัน แต่ฝ่ายสหรัฐฯกลับมีเหตุผลมารองรับ แสร้งว่าจำใจทำ ไม่มีทางเลือก โยนความผิดให้อีกฝ่ายว่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือ ยิ่งซีนที่ทหารผ่านศึกคนหนึ่งมาบัญเอิญเจอ คริส ที่อู่ซ่อมรถแล้วขอบอกขอบใจเขายกใหญ่เรื่องเคยช่วยชีวิต นอกจากจะไม่ซึ้งแล้ว ยังดูล้นเกินไปหน่อย
การแสดงของ แบรดลีย์ คูเปอร์ คือส่วนที่เด่นที่สุดของหนัง เขาถ่ายทอดความรู้สึกได้ยอดเยี่ยม ไม่พยายามที่จะเหมือนกับตัวจริงเกินไป แต่ก็ทำให้คนดูเชื่อว่าเขาคือนักแม่นปืนแห่งหน่วยซีล ลบภาพกวนๆ จากผลงานที่ผ่านมาไปได้หมด ตัวละครมีพัฒนาการทั้งภายนอกคือรูปร่างและภายในคือความคิด ซึ่งนั้นทำให้ คริส ไคลย์ กลายเป็นตำนานจริงๆ มากกว่าคำพูดที่ยกยอกันเองของตัวละครหลายตัวในหนัง ข้อดีที่มีให้เห็นอีกก็คือฉากต่อสู้ที่พอมองข้ามความโอเวอร์ก็ให้ความบันเทิงในระดับหนึ่ง ซาวด์เสียงประกอบอย่างกระสุนชัดเจนช่วยเพิ่มอรรถรส และงานสร้างชั้นดี ชุดนักแสดง อุปกรณ์ประกอบฉาก สถานที่ถ่ายทำดูดิบๆ เข้ากับบรรยากาศ
American Sniper ยิงเข้าเป้าหัวใจอเมริกันชน ทั้งปลุกใจและปลุกระดมในคราวเดียว มันจึงไม่ใช่แค่หนังชีวประวัติ ทรงพลังในแง่ของการสร้างวีรบุรุษสงคราม ติดตรงการเล่าเรื่องที่ธรรมดาไป คาดเดาได้ตลอด แถมยังไม่มีประเด็นแหลมคมผิดฟอร์มของ คลินต์ อีสต์วูด หากคุณรู้เรื่องของคริสน้อยหรือไม่รู้เลยช่วงท้ายหนังก็สร้างความสะเทือนอารมณ์ได้
ถึงบทสรุปจะปั้นให้เป็นเรื่องปัญหาการสู้รับกับการก่อการร้าย แต่ส่วนตัวกลับมองว่าตอนจบมันเป็นการตีแผ่ปัญหาเรื้อรังในประเทศสหรัฐฯ เสียเอง ในเรื่องกฏหมายการถือครองอาวุธปืนแบบเสรีที่นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า บนแผ่นดินที่อ้างว่าอยู่ดีมีสุขที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แทบทุกบ้านพวกเขากลับสอนเด็กๆจับปืนเพื่อใช้ป้องกันตัว หรือล่าสัตว์ก่อนที่ลูกๆหลานๆจะเข้าเรียนชั้นมัธยมด้วยซํ้าจนทุกวันนี้ ขณะที่ทหารของพวกเขากำลังเล็งปากกระบอกปืนไปหาคนชาติอื่น หลายครั้งปลายกระบอกปืนของพลเรือนสหรัฐฯกลับหันหน้าเข้าหาพวกเดียวกันเอง มันเป็นกระสุนระยะใกล้ที่น่ากลัวกว่ากระสุนระยะไกลซะอีก
BUGABOO NEWS / บทวิจารณ์โดย นกไซเบอร์
สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ (นกไซเบอร์)
จบด้านขีดๆเขียนๆ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ เป็นคนชอบดูหนังมาก ดูได้ทุกแนว เมื่อดูจบแล้วมีอะไรค้างคาในใจก็จะมาระบายออกลงในบล็อกส่วนตัวเงียบๆ ใช้นามปากกาว่า นกไซเบอร์