ถ้าถามว่าได้ดูหนังตระกูล Fast and Furious เมื่อไหร่ก็ต้องย้อนไปไกลกว่า15ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังไม่สามารถทำใบขับขี่ได้ด้วยซํ้า หนังเรื่องนี้เปิดตัวด้วยชื่อ The Fast And The Furious และใครจะไปคิดหละว่าทศวรรษต่อมามันจะเดินทางมาถึงภาค 7 แล้ว หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าหนัง มันให้คำนิยามใหม่ว่ารถเป็นมากกว่าพาหนะ ขณะเดียวกันก็สร้างวัฒนธรรมการต่างๆขึ้นมามากมายทั้ง การขับรถแข่ง การแต่งรถ การแต่งตัวแนวสตรีท และการฟังเพลงแนวฮิปฮอปอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์
Fast and Furious 7 เป็นภาพยนตร์ที่คนทั่วโลกตั้งตารอคอย เพราะมันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับหนัง เจมส์ วาน ผู้กำกับเชื้อสายเอเชียได้เป็นผู้กำกับ จา พนม แอ็คชั่นสตาร์ชาวไทยได้ร่วมแสดง และ พอล วอล์คเกอร์ นักแสดงหลักเสียชีวิต โดยเฉพาะคนไทยที่มีคดีความฟ้องร้องให้ต้องลุ้นกันจนนาทีสุดท้ายว่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้พร้อมกับทั่วโลกหรือไม่
บทหนัง Fast 7 ค่อนข้างครบรสมีทั้ง แอ็คชั่น คอเมอดี้ และดราม่า กระนั้นการจากไปของ พอล ทำให้พาร์ทดราม่าดร็อปลง ผู้กำกับคงแก้ไขโดยการนำฉากแอ็คชั่นมาใส่แทน สัดส่วนมันเลยดูไม่สมดุลกับตัวหนังที่มีความยาว2ชั่วโมงกว่า ผู้ชมบางส่วนที่ไม่ใช่คอหนังบู๊อาจรู้สึกว่าฉากทำลายล้างเยอะไปหน่อย จุดนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า บทคงจะถูกแก้เป็นร้อยรอบ จะไปโทษ เจมส์ วาน ทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ฝีมือการระเบิดตึกเผารถพังพินาศของแกนี่ทำให้เราอดเอาไปเปรียบกับ ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมล้างผลาญไม่ได้
สำหรับความโอเวอร์ของหนัง ต้องบอกว่ายิ่งกว่าภาคที่แล้ว เจมส์ วาน ซึ่งมาจากสายหนังเหนือจริง (หนังผี) เป็นทุนเดิมจัดหนักความมันส์โดยไม่สนหลักฟิสิกส์หรือแรงโน้มถ้วงใดๆ มุมกล้องมีความหลากหลาย การตัดต่อทำได้ยอดเยี่ยม เทคนิคภาพพิเศษสวยงามเนียนตา พล็อตไม่ฉีกมาก พอคาดเดาได้ Fast and Furious 7 กลายเป็นหนังแอ็คชั่นแก๊งสเตอร์เต็มตัว เพียงแต่นำรถมาเป็นพร็อพประกอบ มีภารกิจให้ทีมทำเป็นด่านๆ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Mission: Impossible – Ghost Protocol และ Transformers 4 ที่คล้ายคลึกกันในแง่ของหนังแอ็คชั่นไล่ล่าในโลเคชั่นต่างแดน
ส่วนตัวชอบการเปรียบบทบาทชีวิตกับรถที่เราขับ จุดนี้ลึกซึ้งพอสมควร ซึ่งหากเทียบเป็นรถ Fast 7 ก็เปลี่ยนตัวเองจากรถซิ่งมาเป็นรถบ้านหรือรถครอบครัวได้ดีระดับหนึ่ง หนังไม่ได้เน้นเรื่องความเร็วเหมือนชื่ออีกต่อไป ตอกยํ้าแนวคิดคนสำคัญกว่ารถ สิ่งที่สร้างสีสันคือทีมตัวร้ายที่มีความโหดเหี้ยมไร้ปราณีนำโดย เจสัน สเตทแธม กับบท เดคการ์ด ชอว์ มือสังหารเงา พี่ชายของ โอเวน ชอว์ ที่คราวนี้มาเป็นคู่ชกที่สมนํ้าสมเนื้อกับ วิน ดีเซล รวมถึง จา พนม ที่แสดงเป็น เกียรติ สมุนมือขวาของ ดิจิมอน ฮอนซู ถือว่าได้เล่นหลายซีนทีเดียว แต่ละครั้งที่ออกก็โดดเด่นพอสมควร ได้โชว์ลีลาเยอะเพราะประกบกับ พอล หากจำ โจ ทัสลิม นักแสดงอินโดนีเซียที่เคยเล่น Fast and Furious 6 กันได้ ผมว่า จา ได้รับโอกาสมากกว่า เสียดายที่บทพูดอันน้อยนิดทำให้เขาเกือบกลายเป็นหุ่นยนต์สังหารไปซะ
ด้านนักแสดงนำหนังพยายามเกลี่ยบทให้ทุกคนได้ออกพอๆกัน ได้เห็น วิน ดีเซล มากหน่อยเนื่องจากเขาเป็นตัวเดินเรื่องหลัก ทว่าคนดูหลายคนคงอดโฟกัสไปที่ พอล วอล์คเกอร์ ไม่ได้ นักแสดงใหม่ เคิร์ท รัสเซล เล่นได้น่าสนใจทีเดียวกับบท มิสเตอร์โนบอดี้ ซีนน้อยแต่บทสนทนาแพรวพราวทุกคำ นี่สิที่เรียกว่าเก๋าเกมส์ ฉากจบจัดว่าเป็นไฮไลต์ทีเดียว ชื่นชมผู้กำกับกับที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีหลอมรวมหนังเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงด้วยคำพูดของตัวละคร ตอนที่ ดอม โทเร็ตโต้ กับเพื่อนๆกำลังพูดถึง ไบรอัน โอคอนเนอร์ เราทุกคนกลับรู้สึกว่ามันเป็น วินดีเซล และนักแสดงคนอื่นๆที่กำลังพูดถึง พอล วอล์คเกอร์
Fast and Furious 7 ไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด ไม่ใช่หนังที่เพอร์เฟ็กต์ไร้ที่ติแบบที่หลายคนคาดหวัง มันไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ที่ พอล จากไป ภายใต้ข้อจำกัด ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่สามารถทำให้มันเป็นหนังที่ดูสนุกทีเดียว บันเทิงพอจะทำให้แฟนๆมองข้ามจุดอ่อนหรือลืมข้อเสียต่างๆได้หมด นอกจากนั้นแล้ว Fast 7 ยังเป็นหนังที่มีความหมายกับใครหลายคน มันเป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ผู้ชมจำนวนมากติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกนานเกิน 10 ปี มีความรู้สึกรักหนัง ผูกพันกับตัวละครเสมือนเป็นคนในครอบครัว พวกเขาได้มองดูการเติบโตของตัวละคร เห็นพัฒนาการของนักแสดง จนถึงเวลาที่ตัวละครหลายตัวตายลง วันที่นักแสดงคนหนึ่งลาจากโลกนี้ไป และไม่ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ห่างไกลกี่ล้านไมล์ เราก็จะจดจำดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตลอดไป
BUGABOO NEWS / บทวิจารณ์โดย นกไซเบอร์
สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ (นกไซเบอร์)
จบด้านขีดๆเขียนๆ ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับโลกไซเบอร์ เป็นคนชอบดูหนังมาก ดูได้ทุกแนว เมื่อดูจบแล้วมีอะไรค้างคาในใจก็จะมาระบายออกลงในบล็อกส่วนตัวเงียบๆ ใช้นามปากกาว่า นกไซเบอร์