เอก ทองประเสริฐ ดีไซเนอร์มากฝีมือเจ้าของแบรนด์ CURATED เปลี่ยนพื้นที่ภายในร้าน Broccoli Revolution สุขุมวิท 49 ให้เป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะจากผลงานของ 3 ศิลปินหญิง ภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับ“ความเชื่อ” โดยใช้ชื่อนิทรรศการ Exhibition 13 ‘Believe?’ พร้อมเปิดตัว คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด Believe Autumn/Winter 2016 ซึ่งนับเป็นคอลเลคชั่นลำดับที่ 13 ของ แบรนด์ภายในงานยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและไลฟ์สไตล์อย่างการกินอาหารตาม ธาตุในรูปแบบของอาหาร Vegan มังสวิรัติขั้นสูง ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นโดยนำสีสันมาผูกโยงให้เข้ากับ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นับเป็น Art Space แนวใหม่ที่ผสานศิลปะจากหลากแขนงบนแนวคิดเดียวกัน ได้อย่างลงตัว
“ตั้งใจไว้ตั้งแต่ 2 ปีก่อนว่า Curated จะไม่แสดงงานในรูปแบบของแฟชั่นโชว์เพราะเราคิดว่ายังไม่ สามารถสื่อไอเดียที่ต้องการบอกได้เท่าที่ตั้งใจ งานนิทรรศการครั้งนี้จึงอยากให้งานศิลปะด้านต่างๆ ได้ เชื่อมโยงเข้าหากัน ทั้งแฟชั่น งานไฟน์อาร์ต” เอกกล่าว
Curated เป็นแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับในสไตล์ Daywear ซึ่งโดดเด่นด้วยแนวคิดของการ เป็น Curator นำงานศิลปะที่ประทับใจมาปรับให้อยู่ในรูปแบบของแฟชั่น นับเป็นงานแห่งความคิดสร้าง สรรค์และการทดลองสิ่งใหม่ๆที่ส่งให้แบรนด์เกิดความแตกต่าง ในครั้งนี้เอกเลือกหยิบงานศิลปะ 2 ชิ้น ที่เขาประทับใจมาใช้เป็นแนวทางหลักในการออกแบบทั้งเสื้อผ้าของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย งานแรก คือผลงานชื่อ Where and when? Berck/Lourdes ของ Sophie Calle ศิลปินชาวฝรั่งเศสซึ่งมีแนวทาง การทำงาน ที่ไม่เหมือนใคร เธอสร้างสรรค์งานแสดงชิ้นนี้จากการให้นักพยากรณ์ทำนายโชคชะตา ของเธอผ่านการเปิดหนังสือแล้วบอกคำสำคัญ จากนั้นจึงใช้ชีวิตตามคำทำนายนั้นและเก็บเรื่อง ราวทั้งหมดตั้งแต่ตั๋วรถไฟ ภาพถ่ายและวิดีโอ มาจัดแสดงเป็นนิทรรศการ ส่วนผลงานศิลปะอีก ชิ้นคือ Decision (2015) ผลงานของ Carsten Holler ศิลปินเบลเยี่ยม ที่จัดแสดงผลงานโดยปล่อยให้ ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกชมอย่างไรผ่านทางเข้างานที่มีให้เลือกทั้ง A และ B เมื่อนำงานศิลปะ ทั้งสองชิ้นนี้มาประกอบกันจึงเกิดเป็นแนวคิดการออกแบบที่พูดถึงระบบการรับรู้ Perception ของคน แต่ละคนนำไปสู่เรื่องราวของ “ความเชื่อ” ที่กำหนดให้คนตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแต่ละขั้น ตอนของชีวิต
“เราสนใจเรื่องระบบความเชื่อของคนในสังคม ว่าทำไมคนหนึ่งคนถึงได้ตัดสินใจเลือกทำอย่างใด อย่างหนึ่งหรือการที่คนเราให้คนที่เราไม่รู้จัก ในที่นี่คือหมอดู มากำหนดชะตาชีวิตของตนเองคอลเลคชั่น นี้จึงต้องการสื่อถึงระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นในคนหนึ่งคน โดยจะแบ่งวิธีคิดออกเป็น 3 ขั้นตอนตามหลัก วิทยาศาสตร์เรื่อง Decision process หรือ Cognitive Process คือ Information/Analysis/ Decision making ซึ่งอธิบายได้ว่าในแต่ละวันเมื่อเราได้รับข้อมูลหนึ่งมา ข้อมูลนั้นจะถูกวิเคราะห์ผ่านความทรงจำ ของเราเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะเลือกทำอย่างไรต่อ งานในคอลเลคชั่น Believe ก็ใช้ระบบความคิด เดียวกัน โดยเราใช้วิธีเดียวกับ Sophie Calle ด้วยการนำวันเดือนปีเกิดของแบรนด์ ไปให้หมอดูไพ่ทาโร่ต์ ดูดวง โดยสมมติว่าแบรนด์คือลูกผู้หญิงกับลูกผู้ชาย อายุประมาณ 6-7 ปี เท่ากับแบรนด์ เกิดวันเดียวกับที่ จดทะเบียนแบรนด์ หมอดูก็ทำนายว่า ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง เธอคนนี้จะเป็นโสด ไม่มีใครคบ และมีชีวิตที่โดด เดี่ยว แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย เด็กคนนี้จะเกิดอุบัติเหตุบ่อย เจอความโชคร้ายตลอดเวลา จากนั้นเราก็เอา ข้อมูลตรงนี้มาเป็นแนวทางการออกแบบ ซึ่งเป็น Process ใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน”
ไอเดียจากคำทำนายถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวทางใหญ่ ในส่วนของเสื้อผ้าผู้หญิง เอกนำแนวคิดว่า หากผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำนายว่าจะต้องเป็นโสด เธอจะมีทางเลือกสองทาง อย่างแรกคือ ไปขอพรจากสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ จากจุดนี้เอกจึงนำ Element ที่ได้แรงบันดาลใจจากการผูกคำทำนายบนกิ่งไม้ในศาลเจ้าญี่ปุ่น มาเปลี่ยนเป็นดีเทลของเสื้อผ้าที่เน้นเรื่องการผูก ไม่ว่าจะเป็นการผูกปม หรือผูกโบ ในขณะเดียวกันจากคำ ทำนายของเด็กผู้ชาย หากมีคนทักว่ากำลังจะมีเคราะห์ ถ้าเลือกที่จะเชื่อ สิ่งที่ทำคือต้องไปหาพระมาคล้อง หรือหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางต่างๆมาปกป้องตนเอง ดีเทลของเสื้อผ้าผู้ชายจึงเน้นที่การนำรูปทรงของ เครื่องรางต่างๆของไทยมาใส่ไว้ในรูปแบบกราฟิก
แนวทางอีกด้านของการออกแบบที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เลือกที่จะไม่เชื่อในคำทำนาย เอกดึง ไอเดียจากความมั่นใจของผู้หญิงที่เลือกแต่งงานกับตนเอง ด้วยการหยิบดีเทลของผ้าลูกไม้ หรือรายละ เอียดต่างๆ ในชุดแต่งงานมาปรับในรูปแบบของ Daywear และนำแหวนแต่งงานมาปรับเปลี่ยนรูปแบบ การใส่ ส่วนผู้ชาย แม้จะเลือกไม่เชื่อคำทำนาย แต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง จากแนวคิดจึง กลายเป็นดีเทลของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายต่างๆ รวมถึงเครื่องหมาย Fragile และสัญลักษณ์ที่แสดงเรื่อง ความปลอดภัย
นิทรรศการ BELIEVE จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 กันยายน-13 พฤศจิกายน 2559
THE ARTISTS
ผลงานศิลปะจาก 3 ศิลปินที่เอกเลือกมาจัดแสดง ล้วนให้แนวความคิดที่คล้ายคลึงและไปใน ทิศทางเดียวกับเรื่องของความเชื่อ ที่เขานำเสนอ
สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ กับผลงานชุด ‘Capturing the intangible’
หยิบผลงานส่วนหนึ่งจากการแสดงเดี่ยวที่หอศิลป์จุฬาฯ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการเพื่อ สื่อถึงแก่นความเชื่อผ่านงานโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมอย่างรูปทรงของเจดีย์ “สนใจเรื่องตัวตนของ ความเชื่อที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านรูปเคารพ และสถาปัตยกรรมที่เรากราบไหว้ จนเกิดจากคำถามเช่น กันว่าอะไรกันแน่ที่เรากราบไหว้กันอยู่ จึงเริ่มนำเสนอผ่าน Negative Space ของเจดีย์ ด้วยวัตถุที่จับต้อง ได้เช่น หนังสือธรรมะ หนังสือวิทยาศาสตร์ แล้วพูดถึงเรื่องการจับต้องความรู้ที่มีแนวความคิดเหมือนกัน คือถ้ารู้เพียงแต่ทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติจริงจะเข้าใจได้อย่างไร เป็นการตั้งคำถามระหว่างเปลือกข้างนอกกับ แก่นข้างในว่าจริงๆสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เป็นหรือเปล่า” สนิทัศน์กล่าว
“เรามองเห็นการอ้างอิงระหว่าง Shape และ Form ของเจดีย์ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามการรับรู้ของ คน ด้วยรูปทรงที่ทำให้รู้สึกต้องเคารพ โดยศิลปินใช้ Negative Space ของเจดีย์เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ซึ่งลิ้งค์กับคอลเลคชั่นของผู้ชายที่นำพระเครื่องมาเป็นสัญลักษณ์ และมาทำรูปทรงใหม่”
วทันยา ศิริวรรณ กับผลงานชุด Object (มงคล)
งานศิลปะที่นำความเชื่อทางศาสนามา มาตีความผ่านมุมมองของตัวศิลปิน โดยนำงานปักผ้ามา ใช้ถ่ายทอดแทนการเชื่อมโยงของชีวิตและศาสนา ผลงานที่นำมาจัดแสดงคือศาลพระภูมิ ซึ่งทำขึ้นมาจาก ผ้าปักทั้งหมด “แรงบันดาลใจของงานเกิดจากการตั้งคำถามเรื่องความเชื่อในศาสนาพุทธ ที่ปนกับการทำ พิธีอย่างพราหมณ์ การนับถือผีในสังคมไทย โดยเลือกแสดงผ่านผ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงใช้แสดงออกเรื่อง ศาสนา เช่นผ้าทอต่างๆ บวกกับส่วนตัวชอบงานคราฟท์จึงนำมาแสดงออกในรูปแบบของงานศิลปะ เช่น งานศาลพระภูมิที่ทำขึ้นจากผ้า บางคนมองว่าเป็นการลบหลู่หรือไม่ แต่เราอยากนำเสนอว่า เป็นคนเราเอง ที่มองศาลพระภูมิในแง่ของวัตถุ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เราเชื่อคือในสิ่งที่อยู่ในนั้นมากกว่าไม่ใช่หรือ” วทันยา กล่าว
“เรามองเห็นความเชื่อมโยงของการนำงานคราฟท์มาแทนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปกติต้องเป็นปูน/ ดิน ปลุกเสก หรือเป็นโลหะมีค่า จึงลิงค์เข้ากับคอลเลคชั่นในหมวดของผู้หญิงที่มีดีเทลเป็นการผูก พันเชือก ที่มองแล้วจะเหมือนตอนที่ คนที่ตามหาความรักมัก ไปบนบานศาลเกล่า กับสารเจ้าต่างๆ หรือแม้กระทั่ง การเอากุญแจไปล๊อค ตามสถานที่ต่างๆ” เอกกล่าว
กวิตา วัฒนชยังกูร กับผลงาน (Tools)
งาน Video Art ที่ศิลปินใช้ตนเองแทนสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน เช่นไม้กวาด ที่ไสน้ำแข็ง ราวตากผ้า หรือแม้แต่ตาชั่ง เพื่อบอกเล่าถึงการทำงานบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีจุดจบจนจนเกิดความ รู้สึกว่ากลายเป็นสิ่งของเหล่านั้น เปรียบเหมือนการทําลายอัตลักษณ์เเละความเป็นตัวตนของบุคคลนั้นๆให้หายไป “งานของแพรวเป็นงานที่พูดถึงผู้หญิงไทยในยุคปัจจุบัน โดยใช้ตัวเองไปแทนวัสดุต่างๆในบ้าน ซึ่ง การที่เราสร้างผลงานโดยใช้ตนเองเป็นส่วนหลัก ต้องใช้วิธีสะกดจิตตัวเองให้รู้สึกว่าเราเป็นของชิ้นนั้นจริงๆ ภาษาธรรมะคือไม่มีตัวกูของกู เป็นการเอาตัวเองออกไป เพื่อที่เราจะได้รู้สึกว่าถ้าเราสูญเสียความรู้สึก ความเป็นตัวตนนั้นไปจะเป็นอย่างไร เป็นเหมือนการตั้งคำถามและได้คำตอบจากการทดลองที่ทำนอก จากนั้นยังสื่อถึงเรื่องความเท่าเทียม เรื่องของเฟมินิสม์ที่แฝงอยู่เรื่อง สิทธิของผู้หญิง” กวิตากล่าว
“สิ่งที่ผลงานนี้สื่อออกมาจะลิ้งค์กับความเชื่อในทางเลือกของการ ‘ไม่เชื่อ’ ในคำทำนาย คอลเลคชั่น ที่ว่าทำไมผู้หญิงต้องแต่งงาน หรือมีความคาดหวังว่าตนเองต้องแต่งงาน จนเกิดเป็นวลีว่า ‘ไม่กลัวขึ้นคานเหรอ’ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดจากบริบทในสังคม ว่าผู้หญิงควรดำเนินชีวิตตามขั้นตอน หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่สังคมได้คาดหวัง และตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้มากมาย ” เอกกล่าว
MENU 4 ELEMENTS
นอกจากแนวคิดของ “ความเชื่อ” ที่แสดงออกผ่านงานศิลปะและแฟชั่น ในแง่ของไลฟ์สไตล์ ความเชื่อก็ยังสามารถเข้าไปมีบทบาทในการสร้างสรรค์ได้ ดังเช่นเมนูอาหารทั้ง 4 เซ็ตที่ครีเอทขึ้นผ่าน โจทย์เรื่องความเชื่อในเรื่องธาตุประจำเดือนเกิด แต่ละเซ็ตเมนูประกอบด้วย ซุป อาหารเรียกน้ำย่อย เมนคอร์ส ขนมหวาน และเครื่องดื่ม จัดหมวดหมู่สีสันให้บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ที่แสดงธาตุต่างๆ สีเหลือง-น้ำตาล แทนธาตุดิน, สีฟ้า แทนธาตุน้ำ, สีเขียว แทนธาตุลม และสีแดงแทนธาตุไฟ
“จุดเด่นของร้าน Broccoli Revolution อยู่ที่อาหารทุกเมนูเป็นอาหารประเภท Vegan หรือ มังสวิรัติขั้นสูงสุด ไม่มีส่วนประกอบที่มาจากสัตว์เลย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นเป็นไข่ นม เนย น้ำปลา หรือแม้แต่น้ำผึ้ง เพราะฉะนั้นจึงดีต่อสุขภาพ ข้อสำคัญยัง สร้างสรรค์ในสไตล์ East Meets West มีอาหาร ให้เลือกหลากหลายแบบนานาชาติทั้งไทย พม่า เวียดนาม ญี่ปุ่น โมร็อคโก ฯลฯ ” คุณหนู- ณยา เอียร์ลิกซ์ อาดัม เจ้าของร้าน Broccoli Revolution กล่าว
สำหรับเซ็ตเมนูอาหารตามธาตุเดือนเกิด บางเมนูมีจำหน่ายที่ร้านอยู่แล้ว แต่หากต้องการสั่งทั้ง เซ็ตต้องสั่งจองล่วงหน้า 1-2 วัน
ธาตุดิน Earth
ซุป Yellow Corn Chowder เมนูเรียกน้ำย่อย Tapenade & Onion Confiture with Bread stick อาหารว่างของฝรั่งเศสที่ใช้มะกอกดำปั่นกับเครื่องเทศ และแยมหอมหัวใหญ่ กินคู่กับขนมปังกรอบ เมนคอร์ส Zaru Soba (บะหมี่เย็น) ที่ใช้เส้นบุกแทนเส้นโซบะ ขนมหวาน ไอศกรีมงาดำออร์แกนิก เครื่องดื่ม No.12 (ฟักทอง เซลารี่และมะม่วง)
ธาตุน้ำ Water
ซุป Blue Cashew Cauliflower กะหล่ำดอกและมะม่วงหิมพานต์ผสมสีจากอัญชัญ เมนูเรียก น้ำย่อย Blue Hummus with Pita Bread ถั่วลูกไก่บดจากเลบานอนกินกับแป้งพิต้า เมนคอร์ส Daikon Blue Pasta with Miso Sauce พาสต้าที่ทำจากหัวไชเท้าฝาน เสิร์ฟคู่กับซอสมิโซะ ขนม กล้วยบวดชี เครื่องดื่ม อัญชัญไอซ์ที
ธาตุลม Wind
ซุปบล็อกโคลี เมนูเรียกน้ำย่อย เซเลอรี่สดดิปกับซาวเออร์ครีม เมนคอร์ส Edamame Spaghetti with Green Pea and Avocado สปาเก็ตตี้ซอสถั่วแระญี่ปุ่น กับถั่วลันเตาและอโวคาโด ขนม Frozen Mint Pannacotta with Kiwi Juice เครื่องดื่ม No.7 (บล็อกโคลี ส้ม แอปเปิ้ลเขียว)
ธาตุไฟ Fire
ซุป Moroccan Lentil เมนูเรียกน้ำย่อย Pumpkin Hummus with Carrot Stick แครอทดิป กับฟักทองบดกับเครื่องเทศ เมนคอร์ส Stuffed Tomato with cashew-cheese couscous ขนม สตรอว์เบอร์รี่ ซอร์เบท์ เครื่องดื่ม No.9 (บีทรูท แครอท แอปเปิ้ลเขียว มะนาว)
THE DESIGNER
เอก ทองประเสริฐ คือดีไซเนอร์มากฝีมือผู้ได้รับรางวัลการันตีระดับสากล ทั้งรางวัลชนะเลิศ Fashion Collection of the year, International Talent Support ประเทศอิตาลี และ Fashion Weekend Brussels ประเทศเบลเยี่ยม หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เขาขอเลือกเดินตามฝันอีกครั้งด้วยการเข้าเรียนปริญญาตรีและปริญญาโท ที่ Fashion Department of the Royal Academy of Fine Arts Antwerp ประเทศเบลเยี่ยม สถาบันศิลปะที่มี อายุกว่า 400 ปี ซึ่งสร้างสรรค์ศิษย์เก่าผู้เป็นศิลปินและดีไซเนอร์ระดับโลกมาแล้วมากมาย เช่น Peter Paul Rubens, Anthony van Dyck , Dries Van Noten, Ann Demeulemeester หรือแม้แต่ Martin Margiela
นอกเหนือจาก Curated เอกยังเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ EK Thongprasert ในปี 2008 ซึ่งผลงานที่ สร้างชื่อให้เขาเป็นอย่างมากคือสร้อยเพชรรูปทรงคลาสสิกที่นำมาทวิสต์ด้วยวัสดุอันคาดไม่ถึงอย่างซิลิโคนสีสันจัดจ้าน โดยภาพรวม EK Thongprasert คือตัวแทนของความลักชัวรี่ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะนำเสนอ ผ่านค็อกเทลเดรส อีฟนิ่งเดรสหรือเครื่องประดับ
ปัจจุบันผลงานของแบรนด์ Curated และ EK Thongprasert มีวางจำหน่ายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง พบกับคอลเล็กชั่นใหม่ของ Curated ได้ที่ THAITHAI ZONE Central ChidLom
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม www.facebook.com/ CURATEDbyEK
Head Office
Curated Co., Ltd.
5/103 Tessabaansongkro Road Ladyao, Chatujak, Bangkok 10900 Thailand
T: +66 2 196 2113
info@curated.co.th
ek.t@curated.co.th
www.curated.co.th
Contact Line ID : curatedofficial
Call Center : +66 96 898 8020
Curated Presents Autumn/Winter Collection 2016
“Believe”
Ek Thongprasert, the brilliant fashion designer and founder of Curated, has transformed the space of Broccoli Revolution, a vegan restaurant in Soi Sukhumvit 49, into a temporary art gallery to showcase his latest fashion collection alongside contemporary art. Artworks by three female artists are exhibited with the theme “believe” in a show called “Exhibition 13 ‘Believe?’” in conjunction with the Believe Autumn/Winter 2016, Curated’s 13th collection. Also featured at this unique presentation is a lifestyle activity with the concept of belief: delighting in haute vegan cuisine in accordance with the concept of elements (earth, water, wind and fire). This restaurant has thus been turned into an offbeat art space that perfectly blends different kinds art all united with a single concept. This inspiring event will run from September 13 to November 13, 2016.
“I had this intention two years ago that I wouldn’t present Curated in fashion show format because it can’t contain all the ideas that I would like to communicate,” Ek said. “So, this exhibition has been designed to link fashion and fine arts together.”
Curated is a daywear clothing and jewelry brand unique in its concept. The brand adopts a curator’s vision that turns inspirations from the art world into fashion items, an innovative and experimental approach that has successfully distinguished the fashion house. For this collection, Ek drew inspiration from two art exhibitions for the designing of both womenswear and menswear. The first is Where and when? Berck/Lourdes by Sophie Calle, a French artist with a unique approach. This show was based on a reading by a fortuneteller who asked the artist to open a book and read words deemed important in order to interpret them as a prophecy. Then, the artist lived her life according to the fortuneteller’s foretelling and collected all the stories including train tickets, photos and videos for an exhibition. The other show is Decision (2015) by the Belgian Carsten Holler, who invited the viewer to make their own decision on how to look at his exhibition that had two entrances. When combined, these two contemporary art exhibitions offer an interesting view on human perception, leading to the notion of “belief” that makes people decide to do or not do a certain thing at each step in their lives.
“I’m interested in the belief system of people in society – why someone makes a decision to do a certain thing or how someone allows a stranger, in this case a fortuneteller, to decide his or her fate,” said Ek. “This collection communicates the belief system of a person, dividing the thinking system into three steps based on the psychological model of decision process or cognitive process, which consists of information, analysis and decision making. This model postulates that when a piece of information is received, it is analyzed by our memory and the analysis leads to decision making. The Believe collection employs the same thinking system. The design team imitated Sophie Calle’s artistic approach, using the birthdate of the brand to consult a tarot reader. Curated was imagined to be a young girl and a young boy aged 6-7 years old who have the same birthdate as the day of the brand’s business registration. The fortuneteller made a reading that the girl will grow up to be a single, lonely lady and nobody wants to be with her. Meanwhile, the boy was predicted to experience several accidents and bad luck all his life. This information was then used as inspiration for the designing of the collection, an unusual process that we had never done before.”
To create this collection, the prophecy inspired two design directions. For womenswear, Ek had the thinking that if a woman is foretold to be single, she then has two options. One is she will pray to a sacred being. With this idea, Ek drew inspiration from the Japanese “tying the knot” ritual and applied it as details such as knots and bows on the clothes. As for the boy, if he believes in the warning of bad luck, he will start wearing Buddha amulets or other talismans, hoping they will protect him. Graphics inspired by Thai talismans can be found in the menswear.
The other response to the prophecy is choosing not to believe it. Ek was drawn to a confidence a woman can have to decide to marry herself. Details often found on wedding gowns, such as lace, was adapted for daywear, and wedding rings were adapted to be worn differently. For the boy, though he does not believe the foretelling, he still needs to be careful. This idea was turned into details such as protective gear, the “Fragile” sign and other symbols related to safety on the clothes.
THE ARTISTS
For the art exhibition, the three selected artists created works with a similar concept.
Sanitas Pradittasnee, Capturing the Intangible
Works from Sanitas’s recent solo show at The Art Center of Chulalongkorn University were selected to be part of this exhibition to communicate the essence of belief through an architectural structure like the chedi. “I’m interested in the identity of belief that’s embedded in our daily life, such as in the statues and architecture that we pay respect to,” said Sanitas. “This raises the question of what we’re indeed worshipping. I present this concept by showcasing the negative space of a chedi and other tangible objects, such as dharma books and science textbooks. The idea of capturing knowledge is also implied. If we know something by theory but without practice, how can we truly understand it? My work also questions the outside and the inside. Is what we see really what it is?”
“We can see Sanitas’s reference to the shape and form of chedi, which is a sacred thing according to people’s perception of its imposing form. The artist uses the negative space of chedi as her means of communication, which is in line with our men’s collection featuring reconstructed amulets,” said Ek.
Watanya Siriwan, Mongkol Object
Watanya’s art interprets religious belief through the use of embroidery, highlighting the link between life and religion. Her work on display is a spirit house made of fabrics. “My inspiration came from a question about our Buddhist faith, which is mixed with Brahministic rituals and animism,” said Watanya. “I chose to work with textiles, which are a common object for women. Since I also like craftwork, these fabrics were turned into art objects in the form of spirit house. Some people question whether this is a sacrilegious act. But what I’m trying to say is it’s us who view the spirit house as an object. But isn’t the thing we actually pay respect to what’s inside it?”
“There’s a connection between craftwork and sacred objects in Watanya’s work. Usually, these objects are made of mortar and blessed clay or precious metal. This is linked to our women’s collection, which features some tying and binding details. They allude to the knot tying ritual performed at some shrines when someone wants to find love or the ritual of putting on locks at some places,” Ek said.
Kawita Vatanajyankur, Tools
In her video art, the artist represents herself as household objects, such as a broom, an ice grater, a clothes line and a scale, to talk about housework that never stops and how a woman identifies with these objects. It is a metaphor for the disappearance of one’s identity. “My work talks about the life of women today,” said Kawita. “I portray different utensils. As I mainly use my body in my art, I have to imagine and focus on being these objects. The usual dharma’s term is ‘there’s no me or mine.’ You take away the self in order to sense the loss of identity. This experimental process raises questions and gives me answers at the same time. The work talks about inequality, feminism and women’s rights.”
“What this artwork talks about has a link with our collection: the option of not believing in the prophecy. Most women feel they need to get married or they are expected to get married. That’s why we have a saying about “kuen kaan,” or being a spinster. It’s a view of society that says women should live their lives according to the expectations and the many rules imposed on them,” Ek said.
MENU 4 ELEMENTS
Apart from art and fashion, “belief” also manifests in another creative activity as in the four menu sets based on the idea of elements and birth months. Each set consists of soup, an appetizer, a main course, dessert and a drink, and features colors representing different elements: yellow-brown for earth, blue for water, green for wind and red for fire.
“The uniqueness of Broccoli Revolution is that it serves only haute vegan cuisine,” said Naya Ehrlich-Adam, or Noo, the owner of the restaurant. “There is no ingredient from animals, not even dairy, butter, fish sauce or honey. It’s very healthy food. Another important thing is the menu is created in an east-meets-west style. There’s a wide variety to choose from, from Thai to Burmese, Vietnamese, Japanese and Moroccan cuisine.”
Some of the dishes in these sets are already available a la carte. However, to order an entire set, you need to place your order one or two days in advance.
Earth
Soup: Yellow Corn Chowder
Appetizer: Tapenade (black olives blended with spices) & Onion Confiture with Bread Stick
Main Course: Zaru Soba (a cold noodle made of konjac noodle)
Dessert: Organic black sesame ice cream
Drink: No. 12 (pumpkin, celery and mango)
Water
Soup: Blue Cashew Cauliflower Soup
Appetizer: Blue Hummus with Pita Bread
Main Course: Daikon Blue Pasta with Miso Sauce
Dessert: Banana in Coconut Milk
Drink: Butterfly Pea Iced Tea.
Wind
Soup: Broccoli Soup
Appetizer: Fresh Celery with Sour Cream
Main Course: Edamame Spaghetti with Green Pea and Avocado
Dessert: Frozen Mint Pannacotta with Kiwi Juice
Drink: No. 7 (broccoli, orange and green apple).
Fire
Soup: Moroccan Lentil Soup
Appetizer: Pumpkin Hummus with Carrot Stick
Main Course: Stuffed Tomato with Cashew-Cheese Couscous
Dessert: Strawberry Sorbet
Drink: No. 9 (beetroot, carrot, green apple and lemon).
THE DESIGNER
Ek Thongprasert is an accomplished fashion designer with international accolades who has won the Fashion Collection of the Year from the International Talent Support, Italy; and the Fashion Weekend Brussels, Belgium. After earning a bachelor’s degree in architecture from Chulalongkorn University, he chose to follow his dreams by studying both bachelor’s and master’s degrees at the Fashion Department of the Royal Academy of Fine Arts Antwerp in Belgium, a 400-year-old art institution that has produced several world-renowned artists and designers, such as Peter Paul Rubens, Anthony van Dyck, Dries Van Noten, Ann Demeulemeester and Martin Margiela.
Besides Curated, Ek founded Ek Thongprasert in 2008, whose collection of colorful silicone necklaces imitating the design of luxurious diamond necklaces brought him great acclaim. The brand Ek Thongprasert represents luxury in every form, from cocktail dresses to evening gowns and jewelry.
At present, Curated and Ek Thongprasert are available around the world, in the US, Europe, Asia, Australia and the Middle East. The new collection of Curated can be found at the THAITHAI ZONE at Central Chidlom.
For more information, please visit www.facebook.com/ CURATEDbyEK.