ย้อนเยือนแรงบันดาลใจจากศานตินิเกตัน “ศิลปะคืออะไรเล่า คือคำตอบของจิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ต่อเสียงเพรียกแห่งความจริง”
—รพินทรนาถ ฐากูร
นับแต่รุ่งอรุณแห่งมนุษยชาติ มวลมนุษย์ได้สร้างสรรค์งานศิลปะจากความคิดสร้างสรรค์ของตน ศิลปะคือสิ่งที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับโลกภายนอกที่ตนรับรู้ และโลกภายในที่ตนแสวงหาศิลปะหลากหลายรูปแบบได้พัฒนาขึ้นตามยุคสมัย จากยุคดึกดำบรรพ์จนถึงยุคดิจิทัล
แม้ว่าจะถูกห่อหุ้มด้วยเค้าโครงภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แต่แก่นสารของศิลปะรูปแบบต่างๆ เหล่านั้น ก็ยังคงเหมือนเดิม กล่าวคือเป็นรูปแบบการแสดงออกที่ตกผลึกแล้วจากการกลั่นกรองผ่านจิตใจมนุษย์ ศิลปะก็คือหนทางหนึ่งในการสื่อสารนั่นเอง ดังนั้นการจะกล่าวว่าศิลปะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงคนทุกเพศทุกวัยเข้าด้วยกันคงจะไม่เกินเลยไปนัก ที่ใดมีศิลปะ ที่นั่นย่อมมีการเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างเช่น ดนตรีและนาฏศิลป์ ย่อมต้องมีผู้แสดงและผู้ชม เช่นเดียวกับที่กาพย์กลอนย่อมต้องมีกวีและผู้อ่าน ในทำนองเดียวกัน ภาพวาดแม้จะวิจิตรงดงามสักเพียงใดก็ย่อมไร้ความหมายหากไม่มีผู้ดู กล่าวอย่างรวบรัดที่สุดคือ ศิลปะทุกประเภทย่อมมีศักยภาพที่จะชักนำผู้คนมารวมกันได้
ในโลกแห่งศิลปะอันไพศาล ย่อมปราศจากทั้งขีดจำกัดและพรมแดน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกเลยที่ในยุคแห่งการเชื่อมโยงเช่นปัจจุบัน ศิลปะจะมีบทบาทในฐานะสะพานขจัดช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมด้วย กระนั้นก็ดีย่อมปฏิเสธมิได้ว่า ทุกๆวัฒนธรรมต่างก็สร้างสรรค์งานศิลปะออกมาในบริบทของตนเอง จึงเป็นเหตุที่เรื่องเดียวกันอาจมองได้จากหลายมุมมองแตกต่างกัน และแสดงออกมาด้วยกลวิธีส่วนบุคคลอันหลากหลาย ฉะนั้นการเคลื่อนย้ายของศิลปะไปทั่วโลกจึงเท่ากับการเคลื่อนย้ายของวัฒนธรรม ความคิด และการแสดงออกด้วย แม้อาจกล่าวได้ว่าผู้คนสมัยนี้ มีโอกาสได้สัมผัสงานศิลปะทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็น แต่การจะชื่นชมศิลปะนั้น จะต้องมีใจเปิดกว้างเพื่อซึมซับสารที่สื่อในงานที่อยู่ต่อหน้าแต่ละชิ้นด้วย ความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยการนี้ได้มากทีเดียว
มหาวิทยาลัยวิศวภารตีก่อตั้งในปี ๑๙๒๑ โดยคุรุเทพรพินทรนาถ ฐากูร ในเมืองเล็ก ๆ แต่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ชื่อ ศานตินิเกตัน สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมเสมอมา ด้วยภารกิจที่จะให้การศึกษาทางศิลปะแก่ผู้คน บรรดาศิลปินหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลกสู่ศานตินิเกตัน มาเพื่อเรียนรู้ เพื่อแบ่งปัน เพื่อแลกเปลี่ยน เพื่อชื่นชม เพื่อสัมผัส และเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจของตน สภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์ขึ้นและสงวนไว้ในสถานที่นี้เกือบศตวรรษ เป็นอุปกรณ์อันทรงพลังที่จะเรียกความคิดสร้างสรรค์ออกมาจากจิตวิญญาณภายในของบรรดาศิลปินเหล่านั้น
ความเชื่อส่วนตัวของรพินทรนาถ ฐากูรที่ว่า “การเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ย่อมเพลิดเพลินกว่าและได้ประโยชน์มากกว่า” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ดังที่เราจะเห็นได้จากจำนวนศิลปินมีชื่อระดับโลกที่มีส่วนร่วมในชุมชนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนหรือผู้สอน ในส่วนของอินเดีย ตัวอย่างที่ดีที่สุดน่าจะเป็นอาจารย์โยเกน จอธุรี สมาชิกราชยสภาอินเดียและหนึ่งในจิตรกรเลื่องชื่อที่สุดในอินเดียยุคใหม่ผู้มีผลงานเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก เขาได้เข้าร่วมศานตินิเกตันมิใช่ในฐานะศึกษิต แต่ในฐานะอาจารย์จิตรกรรม ในส่วนของไทย ศิลปินชั้นนำหลายคนจบการศึกษาจากศานตินิเกตัน ที่น่าจดจำที่สุดท่านหนึ่งคืออาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ผู้ล่วงลับ ศิลปินชื่อดังผู้เก่งกาจรอบด้านทั้งทางเทคนิคและสไตล์ ทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ในไทย นอกจากนี้ยังควรกล่าวถึงศิลปินมีชื่ออีกหลายท่าน เช่น อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ธวัชชัย สมคง และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขายังคงผลิตผลงานชั้นครูออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่ออุดมคติและสะท้อนโลกทรรศน์ของตน อีกทั้งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและมรดกแก่อนุชนอีกหลายรุ่นสืบไป
“ย้อนเยือนแรงบันดาลใจจากศานตินิเกตัน” รวบรวมผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นจากศิลปินชั้นนำแห่งมหาวิทยาลัยวิศวภารตีไว้ในรูปแบบนิทรรศการศิลปะ ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นภาคต่อของเรียกความคิดสร้างสรรค์ออกมาจากจิตวิญญาณภายในของบรรดาศิลปินเหล่านั้น
ความเชื่อส่วนตัวของรพินทรนาถ ฐากูรที่ว่า “การเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ย่อมเพลิดเพลินกว่าและได้ประโยชน์มากกว่า” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ดังที่เราจะเห็นได้จากจำนวนศิลปินมีชื่อระดับโลกที่มีส่วนร่วมในชุมชนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนหรือผู้สอน ในส่วนของอินเดีย ตัวอย่างที่ดีที่สุดน่าจะเป็นอาจารย์โยเกน จอธุรี สมาชิกราชยสภาอินเดียและหนึ่งในจิตรกรเลื่องชื่อที่สุดในอินเดียยุคใหม่ผู้มีผลงานเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก เขาได้เข้าร่วมศานตินิเกตันมิใช่ในฐานะศึกษิต แต่ในฐานะอาจารย์จิตรกรรม ในส่วนของไทย ศิลปินชั้นนำหลายคนจบการศึกษาจากศานตินิเกตัน ที่น่าจดจำที่สุดท่านหนึ่งคืออาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ผู้ล่วงลับ ศิลปินชื่อดังผู้เก่งกาจรอบด้านทั้งทางเทคนิคและสไตล์ ทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่ในไทย นอกจากนี้ยังควรกล่าวถึงศิลปินมีชื่ออีกหลายท่าน เช่น อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ธวัชชัย สมคง และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขายังคงผลิตผลงานชั้นครูออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่ออุดมคติและสะท้อนโลกทรรศน์ของตน อีกทั้งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและมรดกแก่อนุชนอีกหลายรุ่นสืบไป
“ย้อนเยือนแรงบันดาลใจจากศานตินิเกตัน” รวบรวมผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นจากศิลปินชั้นนำแห่งมหาวิทยาลัยวิศวภารตีไว้ในรูปแบบนิทรรศการศิลปะ ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นภาคต่อของนิทรรศการ “แรงบันดาลใจจากศานตินิเกตัน” ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากนิทรรศการก่อนหน้าประสบความสำเร็จอย่างสูง และมีกระแสเรียกร้องอย่างต่อเนื่องจากบรรดาผู้เยี่ยมชมให้นำมาจัดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เราจึงตัดสินใจนำนิทรรศการนี้กลับมาโดยมีข้อปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อมิให้ซ้ำซากจนเกินไป ขณะที่ยังคงแก่นสารแห่งสากลนิยมไว้อย่างเต็มเปี่ยม อนึ่งควรกล่าวไว้ที่นี้ด้วยว่า ปีนี้นับเป็นกาลเหมาะสมยิ่งที่จะจัดนิทรรศการดังกล่าว เพราะเป็นปีครบรอบ ๗๐ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-อินเดีย ทั้งยังเป็นปีครบรอบศตวรรษแห่งการก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และครบรอบศตวรรษหนังสือเรื่อง ชาตินิยม ของฐากูร ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ฐากูรได้วิจารณ์ลัทธิชาตินิยมและลัทธิทุนนิยมที่เกินพอดีไว้
ขอขอบคุณคุณธวัชชัย สมคง ศิลปินและบรรณาธิการนิตยสารไฟน์อาร์ต ผู้จัดแจงให้งานนิทรรศการนี้เกิดขึ้น และคุณหรรษา คำล้วน ผู้อำนวยการฝ่ายพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ ผู้คอยประสานงานกับคุณธวัชชัยให้นิทรรศการนี้สำเร็จเป็นความจริงขึ้นมาได้ นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างยิ่ง ที่สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยให้ความอนุเคราะห์สถานที่และช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังในการจัดเตรียมนิทรรศการ
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่านิทรรศการ “ย้อนเยือนแรงบันดาลใจจากศานตินิเกตัน” จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนคอยสำรวจโลกทางศิลปะของตน รวมทั้งความสัมพันธ์และการดำรงอยู่ร่วมกับโลกรอบกายตนต่อไป
ด้วยประณาม
สุรัตน์ โหราชัยกุล
ผู้อำนวยการศูนย์อินเดียศึกษา
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
The Santiniketan Inspiration Revisited
“What is Art? It is the response of man’s creative soul to the call of the Real.” —Rabindranath Tagore
Since the dawn of mankind, men have created artwork out of their senses of creativity. Art is what connects them to the outside world they perceive, and the inside world they pursue. Various art forms have been developed through the ages, from primitive to digital. Though shrouded by ever-changing contours, their essence remains the same: they are but the crystallized forms of expression filtered by the lens of human mind.
Art is more or less a means of communication. Therefore, to state that art serves as a tool to connect people from all walks of life is not an overstatement. Where there is art, there is interconnection. Music and dance, for example, need the performer and the audience as much as poetry needs the poet and the readers. In the same way, a painting, no matter how extravaganza, is simply meaningless without its viewers. To say the least, every type of art has the potential to bring people together.
In the vast world of art, one finds no limitation and no borderline. For this reason, it is of no surprise that in this age of interconnectedness, art also finds its role as a bridge to eliminate the gap between cultures. Yet, it is undeniable that every culture creates artwork in its own context, which is why one subject can be viewed from different perspectives and portrayed in a variety of individual techniques. Hence, the mobility of art throughout the world also means the mobility of cultures, thoughts, and expressions. Although it might be said that people of today are more exposed to global art than ever before, to appreciate it one must open his or her mind to absorb the messages conveyed through each piece of artwork before him or her. Cultural awareness can be of an immense help in this.
Established in the year 1921 by Gurudev Rabindranath Tagore, Visva-Bharati University in the small yet globally recognized town of Santiniketan has always served as such place of cultural linkage, with the mission to educate people in art. Artists flow from every corner of the world to Santiniketan. They come to learn, to share, to exchange, to appreciate, to feel and to look for their inspiration. The environment
reason, it is of no surprise that in this age of interconnectedness, art also finds its role as a bridge to eliminate the gap between cultures. Yet, it is undeniable that every culture creates artwork in its own context, which is why one subject can be viewed from different perspectives and portrayed in a variety of individual techniques. Hence, the mobility of art throughout the world also means the mobility of cultures, thoughts, and expressions. Although it might be said that people of today are more exposed to global art than ever before, to appreciate it one must open his or her mind to absorb the messages conveyed through each piece of artwork before him or her. Cultural awareness can be of an immense help in this.
Established in the year 1921 by Gurudev Rabindranath Tagore, Visva-Bharati University in the small yet globally recognized town of Santiniketan has always served as such place of cultural linkage, with the mission to educate people in art. Artists flow from every corner of the world to Santiniketan. They come to learn, to share, to exchange, to appreciate, to feel and to look for their inspiration. The environment created and preserved in this place for nearly a century is a powerful instrument to arouse the creativity from their inner mind.
Rabindranath Tagore’s personal belief that ‘learning in a natural environment is more enjoyable and fruitful’ is proved to be valid, as we can see from the numbers of world-renowned artists who had taken part in this community, whether it is as teachers or learners. For India’s part, the best example would be Master Jogen Chowdhury, a member of Rajya Sabha, India and one of the most eminent painters of modern India whose works are celebrated throughout the world. He joined Santiniketan not as a student but as a professor in painting. As for Thailand, many leading artists graduated from Santiniketan. One of the most memorable would be the late Master Fua Haripitak, a celebrated artist who was rather versatile in techniques and styles, and was recognized as a pioneer in Thailand’s modern art. Also mentionable are renowned artists such as Mr. Alongkorn Lauwatthana, Mr. Tawatchai Somkong and many others. They continue to produce masterful works to serve their ideologies and reflect their worldviews, as well as to be a source of inspiration and legacy for generations to come.
‘The Santiniketan Inspiration Revisited’ compiles some of the best works by leading artists of Visva-Bharati University in form of visual art exhibition. It might be regarded as the continuation of ‘The Santiniketan Inspiration’ in the previous year. As the former exhibition had been very successful and continuously demanded by the visitors for a re-run, we decided to bring it back again but with slight alterations in order that the exhibition would not be too repetitive, while the essence of cosmopolitanism is still fully represented here. It is also noteworthy that this year is very timely for the re-run of this exhibition, as it marks the 70th anniversary of India-Thailand diplomatic relations, the centenary of Chulalongkorn University and the centenary of Tagore’s Nationalism, in which he criticized nationalism and the excess of capitalism.
My heartfelt thanks go to Mr. Tawatchai Somkong, artist and Editor in Chief of Fine Art Magazine for his arrangement for the exhibition and Ms. Hunsa Khamlion, Director, Division of Museums and Art Galleries, for her cooperation with Mr. Tawatchai to make the exhibition a reality. I am also indebted to Office of Art & Culture, Chulalongkorn University for providing the venue as well as the relentless effort for setting up this exhibition.
Last but not least, I believe that ‘The Santiniketan Inspiration Revisited’ will continue to inspire people to keep exploring their world of art as well as interrelations and coexistence with the world around them.
Pranam
Surat Horachaikul
Director, Indian Studies Center
of Chulalongkorn University
นิทรรศการ : “The Santiniketan Inspiration Revisited”
ศิลปิน : ผลงานศิลปะของอดีตศึกษิตมหาวิทยาลัยวิศวภารตี จำนวน 6 ท่าน ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อาทิ FUA HARIPITAK, JOGEN CHOWDHURY, ALONGKORN LAUWATTHANA, SIVADOL SITIPOL, TAWATCHAI SOMKONG, VERAPAT SITIPOL
วันที่ : 8 – 29 กันยายน 2560
สถานที่ : นิทรรศสถาน อาคารศิลปวัฒนธรรม
เบอร์โทร : 02-218-3645
เปิดให้เข้าชมทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๗.๐๐น.
ปิดให้บริการ เสาร์,อาทิตย์ และวันหยุดราชการ