จากเด็กสาวผู้แก่นเชี๊ยว เปรี้ยวจี๊ด และมีรสนิยมทางด้านแฟชั่นมาตั่งแต่เด็กทำให้ พัชทรี ภักดีบุตร ผู้ที่สนุกกับการพาตัวเองให้แวดล้อม อยู่กับงานดีไซน์ มีความฝันว่า สักวันหนึ่งเธออาจจะได้ทำในสิ่งที่เธอรัก แต่กว่าเส้นทางความฝันของเธอจะถูกชุบชีวิตขึ้นมาเป็นแบรนด์ “Greyhound” และ “Grey” ได้นั้น เธอผู้นี้ต้องหลงทางไปตามเส้นทางอื่น ก่อนที่จะมาพบว่าสิ่งที่เคยฝันไว้กลับถูกยื่นมาให้อย่างไม่คาดฝัน…
“ประมาณอายุ 14-15 ปี พี่เคยฝันไว้ว่าอยากจะเป็นดีไซเนอร์แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาทำงานตรงนี้จริงๆ เพราะความคิดตอนนั้นเกิดจากการที่เราเป็นคนบ้าแฟชั่นอยู่แล้วในตัว ก็จะติดตามเทรนด์แฟชั่นของเมืองนอกทั้งการไปหาซื้อหนังสือแฟชั่นต่างประเทศที่ขายตามสนามหลวง โบ๊เบ๊ มาดูทิศทางแฟชั่นเพื่อไม่ให้ตกยุค การได้เริ่มอ่านหนังสือ ลลนา เปรียว ได้ติดตามผลงานของคุณ โหน่ง-ปริญญา ซึ่งเป็น Idol ผู้ทำให้ชีวิตพี่มีรสชาติในด้านแฟชั่นขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายรูป การแต่งตัวการเซ็ตแฟชั่นแต่เพื่อถ่ายลงหนังสือแต่ละเล่ม จนกระทั่งการเฝ้าติดตามเสมือนตัวเองเป็นแฟนคลับของเขาอย่างเต็มที่ และทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปตีสนิท การไปดักรอเพื่อเจอหน้า การไปซื้อเสื้อผ้าของคนที่เป็น Idol มาใส่ ก็เป็นอีกความสุขที่เราสัมผัสได้ ณ เวลานั้นจริงๆ จนวันหนึ่งก็ถึงเวลาที่เราจะต้องบินไปเรียนยังต่างแดน กระทั้งจบปริญญาตรีด้านการตลาดจากประเทศอังกฤษมา แต่ความฝันที่จะทำงานด้านดีไซเนอร์ก็ยังไม่ลบออกไปจากหัวใจ พี่เริ่มทำงานเป็นกราฟิกดีไซน์เนอร์ให้กับ Leo Bernett ที่นี่ทำให้พี่ได้แสดงออกทางด้านความคิดในเรื่องของงานดีไซน์ได้อย่างเต็มที่ ความคิดที่จะแหกกฏก็เริมขึ้น เพราะไม่ว่าเราจะออกแบบงานอะไรเราก็ใส่ความชอบของเราลงไปด้วยทุกครั้ง อย่างที่พี่ชอบงานด้านดีไซน์ของเสื้อผ้า พี่ก็จะรับงานด้านนี้มาใส่ลงในโฆษณาด้วย ทำให้โฆษณาดูแปลกๆ เป็นเพราะส่วนหนึ่งเราไม่มีพื้นฐานด้านการดีไซน์มาก่อนเวลาคิดอะไรเราก็จะไม่มีกฏมาบังคับตายตัว งานที่ออกมาก็จะต่างกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นเรื่องที่ดีที่เจ้านายเห็นสมควรไป”
“3 ปี กับการ ทำงานกราฟิกที่ Leo Bernett พี่มองว่างานทุกชิ้นที่เราทำมีแต่โดนใจเจ้าของสินค้า ไม่ได้ทำออกมาให้โดนใจผู้บริโภคสักเท่าไหร่ ตัวพี่เองก็เริ่มมีคำถามในใจว่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้เราจะทำงานต่อไปเพื่ออะไร และความคิดที่เราว่าเจ๋งแล้ว พอให้ลูกค้าดูเขาก็ยังไม่ชอบ และอยู่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจก็ไม่รู้ ระหว่างที่พี่ขับรถเพื่อไปทำงาน ก็เหลือบเห็นโฆษณาที่พี่ทำติดอยู่ตรงท้ายรถเมล์พอดี ก็เกิดเป็นคำถามว่า ” นี่หรืองานที่ฉันทำอยู่” มันจะคงทนถาวรได้แค่ไหน สิ่งเหล่านี้มันไม่มีคุณค่าทางจิตใจใครเลย พี่คิดได้แบบนี้ก็ตัดสินใจลาออกจาก Leo Bernett ทันที”
แต่ด้วยความชอบในการทำงานที่ไม่เหมือนใครและสไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่นเข้าตา (กรรมการ) ทำให้ประธานของ Leo bernett (ภาณุ อิงคะวัต) หันมาชักชวนพี่รี่เพื่อมาทำงานเป็นดีไซเนอร์ให้กับ Greyhound และบังคับเธอให้มาเป็นหุ้นส่วนด้วยกัน ความที่ตัวเธอเองก็ตั่งเป้าหมายไว้ว่า ก่อนอายุ 30 ปีจะต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเองให้ได้ ทำให้เธอยอมตกลงร่วมหุ้นอย่างง่ายดาย และเริ่มทำงานอย่าที่ใจต้องการโดยผลิตและออกแบบเสื้อผ้าให้ Greyhound ตั่งแต่นั้นมา
“จากเสื้อผ้า Greyhound ที่เคยมีแต่ของผู้ชาย พอเราเข้ามาทำงานก็เริ่มผลิตและดีไซน์เสื้อผ้าผู้หญิงเข้ามาเป็นคอลเลคชั่นของแบรนด์ด้วยทำมาสักระยะก็เห็นว่าเสื้อผ้าผู้หญิงเริ่มโตเร็วขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัจจัย หลายๆด้าน ทั้งในเรื่องของงานเดินแฟชั่นโชว์ การถ่ายแบบให้กับหนังสือต่างๆ จากจุดนี้ก็เลยทำให้แบรนด์ Greyhound ที่เป็นเสื้อผ้าผู้หญิงกลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น”
“คอนเซ็ปต์ในการคิดงานแต่ละครั้งอยู่ที่ความชอบของเราว่าอยากใส่อะไร แบบไหน ซึ่งเราเองก็เป็นคนบ้าแฟชั่น ดื้อ ไม่ชอบทำตัวตามเทรนด์มากมาย แต่ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้งานที่ออกมาอยู่เหนือเทรนด์ที่สุดโดยการเอาตัวเองผสมกับเทรนด์แฟชั่น และสิ่งนี้เองที่ทำให้งานของเราออกมาไม่เหมือนใคร”
จากแรงสำคัญที่ผลักดัน Greyhound จนโด่งดังทั้งตลาดภายในและนอกประเทศเรื่อยมา กระทั้งมีโอกาสได้มาดูแลแบรนด์น้องใหม่คือ Grey พี่รี่จึงทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อ Set-up และดูแลแบรนด์น้องใหม่อย่างเต็มที่
“การทำงานภายใต้แบรนด์ ความยากอยู่ที่ความยึดถือความเป็นแบรนด์ให้ดี และยิ่งต้องทำงานภายใต้องกรณ์ใหญ่ๆ มันก็ยากขึ้นด้วย บางครั้งฝ่ายการตลาดก็จะบอกว่าเสื้อผ้าคอลเลคชั่นแบบนี้ขายดีในซีซั่นก่อนเขาก็อยากให้เราทำแบบนี้ขึ้นมาอีก แต่เราในฐานะที่ทำงานตรงนี้มาก็จะรู้ว่าอะไรมันจะมา อะไรมันจะเอาท์ ก็เหมือนอยู่ในวงล้อแฟชั่นซึ่งเมื่อทำงานไปได้สักพักก็จะรู้ไปเอง นี่แหละคือความยากในการที่จะพัฒนาและพาธุรกิจให้ลงตัวได้ เขาจะต้องเก่งมาก เขาต้องสู้ ต้องทำงานแบบตัวคนเดียว เพื่อจะได้ดูแลธุรกิจของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับและเข้าไปในตลาดธุรกิจเสื้อผ้าได้อย่างภาคภูมิ”
“ดังนั้นหากน้องๆ คนไหนที่สนใจอยากจะเป็นดีไซเนอร์ ก่อนอื่นเราจะต้องหาตัวเองให้เจอ ต้องรู้ว่างานที่เราจะทำเป็นอะไร บางทีเราอาจเลี้ยวไปโน่นไปนี่บ้าง แต่ทำอย่างไรให้เราก้าวไปถึงจุดหมายให้มากที่สุดเข้าใจเป้าหมายของเราให้ดีกว่าสิ่งที่เรานำเสนอคืออะไร เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด พี่มองว่าคนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จได้เอง ที่สำคัญเราต้องชัดเจนในการสร้างแบรนด์ให้มากๆ เพราะสิ่งนี้จะทำให้เราได้รับการยอมรับในที่สุด ตอนนี้วงการแฟชั่นมันโตเร็วและเข้มข้นขึ้นมากไหนจะต้องแข่งขันกับเมืองนอก ซึ่งเมื่อก่อนมีไม่กี่แบรนด์ ใครจะทำอะไรออกมาก็ขายได้แล้ว แต่เดี๋ยวนี้พอแบรนด์เยอะขึ้น แบรนด์เมืองนอกก็เข้ามามาก ทำให้เราต้องพยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ดีและชัดเจน เพื่อความแข็งเกร่งของแบรนด์ และสามารถต่อสู้กับแบรนด์อื่นได้มากขึ้นด้วย”
“พี่ไม่เคยวัดความสำเร็จจากการทำงานของตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่เราทำงานแล้วมีความสุขเราก็พอใจแล้ว สิ่งที่เราได้รับกลับมาเรารู้สึกว่าเราสบายใจ มันดูคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่เราได้ทำมา ถ้าเราอยากได้ความสุขเราก็ต้องรู้ตัวเองว่าเราชอบอะไร แล้วทำสิ่งนั้นให้ดี”
ตัวพี่เองบางครั้งแอบอิจฉาคนที่ได้เรียนมาทางด้านแฟชั่นโดยตรง เพราะอย่างพี่บางครั้งเราเห็นว่าเสื้อผ้าแบบนี้ต้องแก้ไขตรงนี้ แต่ในเมือเราไม่ได้เรียนดีไซน์มา เราก็แก้ไขงานเองไม่ได้ เราสามารถคอมเมนท์ได้เฉยๆ แต่เวลาเราไม่มีพื้นฐานทางด้านนี้ ทำให้เรามีคำถามเกิดมากมาย ทำให้เรามีการแชร์ความรู้ได้มากขึ้นกับผู้รู้ สิ่งนี้เองที่จะทำให้เราเข้มแข็ง และแข็งแรงขึ้น เวลาที่เราได้แชร์ความคิดกับเด็กๆ รุ่นใหม่ เราก็จะได้ความสด ความก๋ากั๋นจากเขามาได้ ถือเป็นความสมดุลที่ดีของการทำงานในเกิดขึ้นอย่างแท้จริง”
ตะกอนความคิดที่รวมตัวเป็นผลึกแห่งประสบการณ์จากการใช้สติวิเคราะห์สิ่งต่างๆ รอบตัวผ่านมุมมองของเวลา ทำให้ตัวตนและจิตวิญญาณของพี่รี่ดูแข็งแกร่งและชัดเจนขึ้น จนเธอพร้อมที่จะผลักดันสิ่งที่อยู่ภายใน เพื่อสะท้อนความเป็นตัวตนออกมาให้เป็นศิลปะบนดีไซน์ของแบรนด์ น้องใหม่เช่น “Grey” อย่างแท้จริงและสวยงามต่อไป…
********************************************************
ที่มา : http://www.designer.in.th/directory/พ/พัชทรี-ภักดีบุตร