“สเรตซิส (Sretsis)” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ดีไซเนอร์ของแบรนด์ยังไม่ทันเรียนจบด้วยซ้ำไป ตอนแรกหลายคนอาจมองว่า ก็แค่อีกหนึ่งแบรนด์จากกระแสการบูมของแฟชั่นเมืองไทยตามนโยบายกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น ที่ในยุคนั้นใครๆ ก็ต่างทำแบรนด์เสื้อผ้าของตนเอง
แต่มาจนถึงวันนี้ แบรนด์สเรตซิสแสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเธอคือของจริง ที่นอกจากจะเป็นแนวหน้าในแฟชั่นเมืองไทย เธอยังก้าวไกลไปสู่ตลาดระดับโลกอย่างโดดเด่นอีกด้วย
สำหรับ Celeb Online by FLASH เล่มนี้ ที่ต้อนรับคุณสู่แฟชั่นเก๋ๆ ในช่วงที่ลมหนาวกำลังจะมาเยือน เราได้จับเข่าคุยกับสามสาวพี่น้องที่มาแรงที่สุดในวงการแฟชั่นไทยในช่วง 4 – 5 ปีมานี้ ผู้เป็นเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เสื้อผ้าแสนเก๋ที่มีคาแร็กเตอร์โดดเด่นอย่าง “สเรตซิส” (Sretsis) และแบรนด์เครื่องประดับที่มีดีไซน์และสไตล์ไม่เหมือนใครอย่าง “มาติน่า อมานิต้า” (Matina Amanita)
โดยทั้งสามแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน เริ่มจาก “อิ๊บ-คล้ายเดือน สุขะหุต” พี่สาวคนโต รับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการทุกอย่าง ควบคุมการทำงานทั้งหมด ส่วน “เอ๋ย-พิมพ์ดาว สุขะหุต” พี่สาวคนกลางเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้า และ “แอ้-มทินา สุขะหุต” น้องสาวคนสุดท้องดีไซน์เครื่องประดับ
จุดเริ่มต้นสู่ธุรกิจแฟชั่น
ต้องถือว่าจังหวะชีวิตของพวกเธอดีมาก เพราะหลังจากเริ่มทำแบรนด์ไม่นาน เมืองไทยก็ตื่นตัวด้านแฟชั่น จนเกิด “Bangkok Fashion City” ซึ่งในการออกเทรดโชว์ (Trade Show) กับโครงการนี้เอง ได้เป็นก้าวย่างสำคัญของแบรนด์สเรตซิสโดยเอ๋ยเล่าว่า “ไปเทรดโชว์ที่ปารีส ทำให้มีเอเจนต์มาติดต่อให้ไปวางขายในโชว์รูมที่นิวยอร์ก เป็นจุดเริ่มของการทำธุรกิจอย่างจริงจัง เพราะในโชว์รูมจะนำตัวอย่างสินค้าของหลายๆ แบรนด์ไปโชว์เพื่อให้บายเออร์จากที่ต่างๆ ไปเลือกเพื่อสั่งสินค้าเข้าไปขายในร้านของตน
เราจึงต้องทำคอลเลกชั่นล่วงหน้าก่อนซีซั่นถึง 6 เดือน ต้องมีขั้นตอนมากมาย ทำ “Look Book” เขียน “Sale Kit” ทุกอย่างทำแบบมืออาชีพ ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องเลย เขาต้องแนะนำว่าต้องเขียนอย่างไร ทำอย่างไร แล้วถ้ามีการสั่งซื้อ ก็ต้องมีทีมที่พร้อมจะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและตรงเวลา จึงถือว่าต้องขอขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่ได้ร่วมงานกับเขา ก็คงทำไปแบบเด็กๆ อยากทำก็ทำ ออกขายเมื่อไรก็ได้ ไม่ได้ทำในรูปของธุรกิจอย่างจริงจังเช่นนี้”
ปัจจุบันสินค้าของพวกเธออยู่ในโชว์รูมเมืองแฟชั่นทั่วโลก ทั้งนิวยอร์ก ลอนดอน ซิดนีย์ ญี่ปุ่น และมีขายในร้านกว่า 100 แห่งที่ รัสเซีย จีน ดูไบ ซาอุดิอาระเบีย ฯลฯ โดยเริ่มแจ้งเกิดในตลาดโลกจากการที่มีเซเลบริตี้ อย่าง “ปารีส ฮิลตัน” ใส่ออกงานแล้วถูกแอบถ่ายไปลงแทบลอยด์ต่างๆ ทำให้ชื่อของสเรตซิสเป็นที่รู้จัก
วิธีการทำสินค้าออกขายในหลายประเทศ แถมต้องทำล่วงหน้าซีซั่นก่อนถึง 6 เดือน อาจดูเป็นเรื่องยาก เพราะต้องคาดเดาเทรนด์และลูกค้าหลายชาติต่างมีรสนิยมแฟชั่นที่แตกต่างกัน แต่สำหรับพวกเธอกลับทำให้เป็นเรื่องง่าย เพราะสเรตซิสไม่อิงเทรนด์ ไม่ต้องรอดูว่าสีไหนจะฮิต แต่จะทำในแบบของตัวเอง และไม่เคยทิ้งคาแรกเตอร์ของตัวเองไปเพื่อเอาใจตลาดไหน
“อิ๊บไม่เคยบังคับน้องๆ ว่าทำอย่างนี้สิจะได้ขายดี จะปล่อยให้เขาทำอย่างที่อยากทำ ใช้ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่ อย่างแอ้เขาก็จะมีสไตล์ของเขา ทำอะไรที่สร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร แต่ก็จะมีกลุ่มลูกค้า ”Niche Market” ที่เขาชอบทำให้ขายได้และยอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี”
การมีแฟนๆ ชื่นชอบเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่ถ้าชอบมากไปอย่างบางรายก็ดูจะเกินพอดีไปหน่อย อย่างที่แอ้เล่าว่า “ตอนนี้สเรตซิสมี Fan Page ใน Face Book ที่เพิ่งจะเริ่มทำ แต่ก่อนหน้านี้มี Fan Page ของมาติน่า อมานิต้า นานแล้ว โดยมีคนปลอมเป็นเรา เขียนเหมือนเป็นเจ้าของแบรนด์ มีคนเข้าใจผิดกด Like เยอะมาก ขนาดเพื่อนเรายังหลงนึกว่าเป็นของจริงเลย
แอ้เคยคอมเมนต์เข้าไปแสดงตัว เขาบอกว่าไม่ได้ทำผิดอะไร แค่ช่วยโปรโมต ให้ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขา แต่กรุณาอธิบายว่า เป็นแฟนทำไม่ใช่แบรนด์ทำเอง พอมีคนเขียนเข้าไปถาม เขาไม่รู้จึงไม่เขียนตอบมาเลย เหมือนเราไม่สนใจแฟนๆ แต่บางครั้งถามถึงเรื่องแรงบันดาลใจในการผลิตสินค้า เขาตอบนะแต่ตอบในแบบที่จินตนาการเอง ไม่ใช่เรื่องจริง ตอนนี้ Pageนั้นก็ยังอยู่ แถมลบข้อความแอ้ออกเพื่อไม่ให้คนรู้ว่าเขาไม่ใช่ตัวจริง เขาเนียนมากเพราะมีภาพร้าน และอัพเดตภาพคอลเลกชั่นใหม่ แถมมีคลิปปิ้งเวลาสินค้าเราได้ไปลงแมกกาซีนต่างๆ มาให้ดูอยู่ตลอด
ของสเรตซิสก็มี Page ที่มีแค่โลโก้อย่างเดียวเปิดมาหลายปีแล้ว ไม่แน่ใจว่าเราไปสมัครกันไว้แล้วลืมหรือคนอื่นทำ แต่มีคน Like 6,000 กว่าแล้วทั้งๆ ที่ไม่เคยอัพเดตเลย แต่ Page จริงที่เราทำกลับมีไม่ถึง 600 เลย (หัวเราะ) ดังนั้นถ้าใครอยาก Like ของจริง ต้องชื่อ Sretsis and Matina Amanita เท่านั้นนะค่ะ”
ทำในสิ่งที่รักและคนก็รักในสิ่งที่เราทำ สามสาวบอกเล่าถึง เคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์ ว่ามาจากการที่ได้ทำสิ่งที่รัก และโชคดีที่คนอื่นก็รักในสิ่งที่พวกเธอทำ เริ่มจาก
เอ๋ย : “ถ้าสิ่งที่รัก คุณจะตั้งใจ ทุ่มเทเต็มที่ แล้วผลมันจะออกมาดีเอง คนจะตอบรับเอง”
อิ๊บ : “ความกล้าของดีไซเนอร์ก็มีส่วน เพราะสองคนนี้เขาทำอะไรก็จะทำอย่างเต็มที่ อย่างถ้าจะทำเสื้อแนวเท่ก็ให้เท่ที่สุด หรือถ้าจะทำเสื้อแบบหวานเขาก็หวานสุดๆ แบบไม่กลัวเลี่ยนเล”
เอ๋ย : “คนจะเห็นว่าสเรตซิสเป็นแนวผู้หญิ๊งผู้หญิง ออกหวาน แต่ในความหวานมันจะมีอะไรซ่อนอยู่ อย่างที่มีคนที่ญี่ปุ่นเคยพูดกับเราว่า เพื่อนเขาเป็นสาวร็อกที่แต่งตัวร็อกๆ ตลอด แต่เมื่อไหร่ไปงานที่ต้องแต่งตัวหญิงๆ เขาจะใช้แบรนด์เรา เพราะเป็นแบบหญิงที่ฮาร์ดคอร์ ซึ่งที่จริงสาวหวานนี่เป็นคนเข้มแข็งในความรู้สึกเรา เพราะการแต่งหวานๆ มันต้องอาศัยความกล้ามาก เพราะมันต้องมีคนมอง แอบวิจารณ์อยู่แล้ว แต่สาวหวานก็จะกล้าแต่งโดยไม่แคร์”
แอ้ : “อกจากพวกเราจะเต็มที่แล้ว ลูกค้าของเราก็เต็มที่ไม่น้อยหน้ากัน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมีสไตล์ สุดโต่งแล้วก็เต็มที่กับทุกอย่าง จนบางครั้งเราเองยังแอบกลัว อย่างตอนมีงานเปิดคอลเลกชั่น หรือมีช่วงเซลลดราคาทุกคนจะมารอคิวซื้อของ พอเปิดประตูจะกรูกันเข้ามาแบบตั้งใจมาก เราต้องแจกบัตรคิว จำกัดเวลาซื้อให้เลยทีเดียว”
ขายดิบขายดีอย่างนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่สินค้าของพวกเธอโดนกอปปี้บ่อยครั้ง นับเป็นปัญหาที่เอ๋ยบอกว่าไม่สามารถแก้ได้ “มีของเลียนแบบเยอะมาก แบบที่เขียนบอกตรงๆ ว่าไอเดียหรือสไตล์มาจากสเรตซิสก็ยังพอเข้าใจ แต่มีบางรายหนักถึงขั้นทำเป็นแบรนด์ของเขาเองชื่อขึ้นต้นตัว S เหมือนกัน ตัวอักษรเดียวกัน สีเหมือนกัน แล้วสินค้าคล้ายเรามาก อย่างของเราใช้เป็นลายดอกแดนดี้ไลอ้อนและมีเกสรปลิว ของเขาเป็นดอกสตรอเบอร์รี่ มีลายจุดสตรอเบอร์รี่ปลิว แต่เขาจะบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจของเขาเอง เล่าเป็นเรื่องราว มีที่มาที่ไป ซึ่งเข้าไปอ่านดูในเว็บไซต์แล้วเราก็ได้แต่ขำ เพราะทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากกฎหมายเรื่องนี้แค่เขาเปลี่ยนตัวอักษรเดียว หรือมีอะไรแตกต่างกันหน่อยก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
สามศรีพี่น้องสุดสนิท แต่ถึงจะเจอเรื่องราวและปัญหาอย่างไร เพราะการที่ทั้งสามคนมีกันและกันจึงช่วยให้เธอผ่านไปได้ พวกเธอโตมาด้วยกัน พอไปเรียนต่างประเทศก็ยังอยู่ด้วยกันครบทีมตลอด ซึ่งจะว่าไปแล้วการมาทำแบรนด์แฟชั่นด้วยกัน มันเป็นการหล่อหลอมที่มีมาแต่วัยเยาว์
ด้วยความเป็นลูกผู้หญิงสามคนจึงหนีไม่พ้นที่จะเล่นแต่งตัวแต่งหน้าตามประสาผู้หญิง ไปจนก้าวหน้าถึงขั้นถ่ายแฟชั่นเซตกันเองเลย มีพี่อิ๊บเป็นช่างภาพ สาวเอ๋ยเป็นสไตลิสต์ และน้องแอ้โดนจับเป็นแบบ มีทั้งครีเอตเอากระดาษทิชชู่ทำชุด หยิบเสื้อคุณแม่มาปรับแต่ง ไปจนถึงเพนต์บนตัวน้อง พร้อมมีไดร์ใช้เป่าผมให้ผมปลิวๆ ตอนถ่าย
“แล้วตอนเด็กๆ จะมีตุ๊กตากระดาษเยอะมาก เป็นร้อยตัว เอ๋ยเองชอบวาดเขียนมาตั้งแต่เด็ก ก็จะออกแบบวาดเองเลย ใครอยากได้แบบไหนวาดให้อย่างที่ต้องการแล้วลงสีสวยงาม และวาดให้ครบเซ็ตเลยนะ ทั้งกระเป๋า รองเท้า ไปจนถึงวิกผม ซึ่งอยู่กันสามพี่น้อง ทำให้เรามีของเล่นเยอะมาก เพราะทุกอย่างแบ่งกันหมด อย่างตอนนี้ชอปปิ้งก็ซื้อมาใช้ด้วยกันได้ เท่ากับเรามีของให้เลือกใช้เป็นสามเท่าเลยทีเดียว”
ทั้งสามอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา สาเหตุหนึ่งน้องเล็กอธิบายให้ฟังว่า “ติดกันแบบนี้ก็เพราะพ่อแม่แหละ เวลาเราอยู่ด้วยกัน เขาจะมีความสุขมาก แต่ถ้าลองใครแยกไปคนเดียว เขาจะโทรศัพท์หาตลอดเวลา กลัวว่าจะเป็นอะไร งอนกันหรือเปล่า อย่างเวลาไปเที่ยว จะโทรศัพท์เช็กเหมือนเราเป็นเด็กเล็ก แต่ถ้าไปกับพี่นะ ทั้งคืนก็ไม่โทรศัพท์สักหาเลยครั้ง”
อยู่ด้วยกันตลอดแบบนี้ แอบมีทะเลาะกันบ้างหรือไม่?
แอ้ : “ไม่ค่อยทะเลาะกัน จะมีก็แต่เรื่องงานบ้างแหละ เพราะพี่อิ๊บจะซีเรียสโดยเฉพาะเรื่องเวลา”
อิ๊บ : “แอ้จะโดนหนักหน่อย เพราะเขาทำอะไรไม่ค่อยเป็นระบบ”
เอ๋ย : “พี่อิ๊บเธอเหมือนเป็นแม่ที่มีความคาดหวังสูง เราเหมือนเป็นลูกที่พยายามทำทุกอย่างให้เขาพอใจ แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่พอใจสักที (พร้อมตีหน้าเศร้า)”
อิ๊บ : “อิ๊บเองก็โดนกดดันจากทางลูกค้าเหมือนกัน ซึ่งน้องทั้งสองคนที่จริงเขาก็ทำให้เราได้แหละ ตรงเวลาด้วย แต่ชอบบ่นไปก่อน”
ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย คือแรงบันดาลใจในการทำงาน นอกจากเวลาที่ทุ่มเทให้กับการทำงานแล้ว ทั้งสามคน จะหาเวลาทำกิจกรรมต่างๆ เป็นการสร้างความสุขในชีวิตและแรงบันดาลใจการทำงาน พวกเธอชอบไปปาร์ตี้ โดยแอ้จะมีงานอดิเรกเป็นดีเจเปิดแผ่นให้กับงานปาร์ตี้ของเพื่อนๆ แต่ถ้าถามถึงกิจกรรมล่าสุด นั่นคือ การเล่นฮูลาฮูป ที่เธอติดใจตั้งแต่ตอนไปลองเล่นของเพื่อนตอนไปเที่ยวเกาะ แล้วก็กลับมาเล่นต่อที่กรุงเทพฯ จนตอนนี้ฮิตเล่นกันทั้งออฟฟิศเลยทีเดียว
“มันไม่ใช่ห่วงเล็กๆ เหมือนที่เคยเล่นตอนเป็นเด็ก แต่เป็นฮูลาฮูปห่วงใหญ่มาก เล่นแล้วเพลินดี แถมตอนนี้มีทริปจะไปเล่นฮูลาฮูปกันไกลถึงเปรู ซึ่งแอ้ซื้อเป็นแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ให้พี่ๆ เดินทางไปด้วยกัน ไปเข้า Meditation Camp มีโยคะ กินอาหารออร์แกนิก เป็น Spiritual Trip แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว เพราะจะมีคน 50 คนแบกฮูลาฮูปขึ้นไปเล่นบนมาชูปิชู มันคงเป็นภาพที่อลังการมาก”
การเดินทางนับเป็นส่วนหนึ่งที่สามพี่น้องพยายามแบ่งเวลาให้กัน นอกจากการไปออกเทรดแฟร์ยังประเทศต่างๆ แล้ว ยังมีทริปประจำปีท่องเที่ยวในที่แปลกๆ อย่าง รัสเซีย กรุงปราก หรือเปรู เพื่อเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจมาใช้ในการทำงานดีไซน์อีกด้วย
แต่นั่นก็ไม่ใช่หนทางเดียวของแรงบันดาลใจ เพราะในเรื่องใกล้ตัวและเป็นประสบการณ์อันเลวร้าย เธอก็สามารถเก็บเกี่ยวมาใช้ อย่างในคอลเลกชั่นล่าสุดนี้
“โดนพนักงานสองคนร่วมมือกันโกง ยักยอกขายเสื้อผ้าแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เขาทำมา 2 ปี โดยที่เราไม่รู้เลย เพราะเป็นคนที่เราไว้ใจ ทำงานมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มแบรนด์ มาจับได้ตอนที่มีลูกค้าจ่ายเงิน แล้วเขาไม่ได้ส่งของให้ จึงสอบถามมาทางบริษัท เราถึงได้รู้และเริ่มตรวจสอบ ตอนแรกก็นึกว่าสัก 50-100 ตัว แต่พอเช็กแล้วเขาโกงไปสูงถึง 900 ตัว มูลค่าหลายล้านบาท นั่นเป็นที่มาของคอลเลกชั่นล่าสุด ที่ชื่อ Stolen Moment ซึ่งตามความหมายแล้ว มันคือช่วงเวลาดีที่ผ่านไปชั่วพริบตา โดยเราไม่ทันตั้งตัว แต่ในกรณีนี้อาจแปลได้ถึง การโดนขโมย” สาวเอ๋ยเล่า จากประสบการณ์ในครั้งนั้น ช่วงแรกทำให้ทั้งสามคนถึงกับงง ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว แต่การหันไปพึ่งธรรมะ ช่วยเป็นทางออก ทำให้มองถึงในมุมที่ดีว่า นั่นคือ บทเรียนของชีวิต เตือนให้รู้ว่าต้องไม่ประมาท ต้องทำงานให้มีระบบและรอบคอบขึ้น
“จากที่เคยคิดว่าขายได้ มีเงิน ได้กำไร ก็พอแล้ว โดยไม่รู้ถึงข้อบกพร่องในการทำงานเลย ตอนนี้เราปิดช่องโหว่ และเป็นการช่วยให้ได้เตรียมจัดระบบใหม่รองรับการเติบโตของแบรนด์ในอนาคต ตอนนี้เรื่องการเงิน เรื่องสต็อก เรื่องบัญชี เราจึงเข้มงวดมาก วางพื้นฐานที่ดีในการทำธุรกิจต่อไป”
จากหลากประสบการณ์ที่พวกเธอได้เจอ และความสำเร็จทั้งหลายที่พวกเธอได้รับ เราให้ทิ้งท้ายถึงคำแนะนำแก่รุ่นน้องๆ ที่จะก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่น
“ตอนนี้แฟชั่นในเมืองไทยบูมขึ้นเรื่อยๆ มีโรงเรียนเปิดสอนเยอะแยะมากมาย เป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน เอ๋ยอยากให้น้องๆ ลองดูให้ดีว่าเราชอบอะไรในแฟชั่น เพราะไม่ใช่ว่าเข้ามาทำงานตรงนี้ต้องเป็นดีไซเนอร์ ทำแบรนด์อย่างเดียว เพราะถ้าชอบแค่แฟชั่นแต่ไม่ได้ชอบเรื่องการผลิต ต้องมาเรียนแพตเทิร์น ตัดเย็บเนี่ย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เศร้านะ แฟชั่นยังมีงานอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสไตลิสต์ เป็นบายเออร์ ไปจนถึงผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ หรือบรรณาธิการแฟชั่นนิตยสาร เราต้องรู้ตัวว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไร และมีความสามารถทางด้านไหน จะได้เลือกงานที่ถูกกับเรา เรียนแล้ว ทำงานอย่างมีความสุข”
อาณาจักรสเรตซิส
เมื่อทุกอย่างโตขึ้น ความต้องการความมั่นคงและเป็นหลักเป็นฐานก็เกิดขึ้น จนวันนี้สเรตซิสเป็นองค์กรที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งเรื่องของชื่อเสียงและสถานที่ทำงาน เพราะนี่คืออาณาจักรของสเรตซิสที่เพิ่งสำเร็จได้ไม่นานซึ่งตึกนี้นับได้ว่าเป็นความภูมิใจของสามสาวซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จหนึ่งของพวกเธอเลยทีเดียว
“เมื่อก่อนเป็นโฮมออฟฟิศ จากบ้านขยายมาโรงรถ แล้วก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ จนคิดว่าคงต้องทำให้เป็นกิจลักษณะกว่านี้ เพราะถ้าทุกอย่างกระจัดกระจายก็ทำให้เราไม่สามารถควบคุมระบบได้ พอถึงคราวจะขยับขยายก็อยากให้ทุกอย่างอยู่รวมกัน”
ออฟฟิศนี้เป็นสถานที่ที่รวมทุกอย่างไว้ตามที่พวกเธอต้องการเพราะเป็นทั้งสำนักงาน สถานที่เวิร์กชอปของทีมดีไซน์ โรงงานผลิตสินค้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของแบรนด์สเรตซิสถูกสรรสร้างขึ้นที่นี่
คอนเซปต์หลักที่คนอาจคิดถึงสเรตซิสส่วนใหญ่แล้ว อาจจะคิดว่าสำนักงานคงมีลักษณะของความหวานเหมือนภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ความจริงแล้วทั้งสามสาวมีความเห็นตรงกันว่าอยากให้ออกมาเป็นสไตล์เรียบ โมเดิร์น และเหมาะกับการทำงาน ซึ่งได้ “คุณบอล-วีรภัฏฐ์ โชคดีทวีอนันต์” สถาปนิกจาก “Tofu Studio” มาช่วยออกแบบให้ โดยคอนเซ็ปต์หลักที่ออกมาเป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมธรรมดา หากแต่มีความแตกต่างตรงที่การเจาะหน้าต่าง ติดกระจกเหลี่ยม ซึ่งหากมองจากด้านนอกจะดูราวกับว่าเป็นพนังที่ประดับด้วยกรอบรูป เมื่อคนมองเข้ามาก็จะเห็นภาพคนทำงานเคลื่อนไหวราวกับเป็น “Live Exhibition”
ตึกมีทั้งหมดสามชั้น แบ่งออกเป็นชั้นล่างเป็นส่วนผลิตเครื่องประดับและโรงอาหาร ส่วนชั้นสองเป็นโชว์รูม ห้องสังสรรค์ สำนักงาน และชั้นสามเป็นอาณาเขตของดีไซเนอร์ ห้องสมุด และ Archive ที่เก็บทุกอย่างตั้งแต่คอลเลกชั่นแรกจนถึงปัจจุบัน ส่วนตึกด้านหลังเป็นส่วนของโรงงานผลิตเสื้อผ้า ที่ทำงานของช่างแพทเทิร์น ช่างตัดเย็บ
อาณาจักรแห่งนี้เป็นอาณาจักรของพวกเธอที่เป็นสถานที่สวยงาม เหมาะกับการทำงาน สามารถทำงานได้อย่างสะดวก สบายและที่สำคัญคนที่ทำงานที่นี่ก็มีความสุขซะด้วย!
แบรนด์ไทยแท้ๆ ที่ดังไกลระดับโลก!
ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่ชื่อเสียงของแบรนด์สเรตซิสเป็นที่ยอมรับ หากแต่ในต่างประเทศชื่อของสเรตซิสเป็นที่รู้จักไม่ยิ่งหย่อนกัน เพราะสเรตซิสมีโชว์รูม ที่วางขายอยู่ในร้านมัลติแบรนด์ ทั้งที่นิวยอร์ก ลอนดอน ซิดนีย์ โตเกียว รัสเซีย จีน ดูไบ ซาอุดิอาระเบีย
นอกจากสินค้าของสเรตซิสจะมีวางขายกว่า 80 ที่ทั่วโลกแล้ว ดาราและเซเลบริตี้ระดับโลกก็ยังเลือกหยิบแบรนด์สเรตซิสมาสวมใส่ โดยผู้ที่ปลุกกระแสให้กับแบรนด์สเรตซิส คนแรกก็คือ “ปารีส” และ “นิกกี้ ฮิลตัน” สองสาวพี่น้องไฮโซระดับโลกที่ใส่ใส่มาประชันกัน นอกจากนั้น ยังมีเซเลบริตี้อื่นๆ ที่ชื่นชอบในระดับแฟนพันธุ์แท้ อาทิ “ซูอี้ เดสชาเนล” อินดี้ควีน สาวเก๋มากสไตล์ ที่เป็นลูกค้าตัวจริงของสเรตซิส แถมยังรีเควสให้ใช้เสื้อผ้าของสเรตซิส ในหนังเรื่องใหม่ที่เธอจะแสดงด้วย รวมถึง “เคที เพอร์รี่” นักร้องสาวชื่อดังก็เคยใส่ชุดของสเรตซิสขึ้นแสดงบนเวที
ส่วนเซเลบริตี้ที่เซอร์ไพรส์สำหรับสเรตซิสมากที่สุดก็คือ “บียอนเซ่ โนวล์ส” นักร้องสาวอาร์แอนด์บีที่มีสไตล์อวบ เซ็กซี่ ที่ดูแล้วน่าจะเหมากับเสื้อผ้าสไตล์แกลมอลังการ แต่เมื่อมาเลือกหยิบแบรนด์สเรตซิสไปใส่ก็ปรากฎว่า แต่งออกมาได้สวยจนน่าประทับใจเลยทีเดียว
ที่มา : http://www.manager.co.th/CelebOnline/
——————————————————————————–
Sretsis
Sretsis เป็นการคิดขึ้นจากสามสาวพี่น้องตระกูล “สุขะหุต” ที่คิดทำแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตนเอง ภายหลังจากที่น้องสาวคนกลาง พิมพ์ดาว สุขะหุต เรียนจบด้านดีไซด์มาจากอเมริกา ซึ่ง Sretsis เป็นการเล่นกลับคำ ของคำว่า Sisters ที่หมายถึงพี่สาวหรือน้องสาว ได้แก่ คล้ายเดือน ,พิมพ์ดาว และมทินา มีความสนิทสนมกันมาก มักชอบและทำอะไรที่คล้ายๆ กัน ภายหลังจากที่คิดจะทำธุรกิจจึงคิดที่จะสร้างชื่อแบรนด์เสื้อผ้าของตนเองที่สื่อถึงความเป็นพี่น้อง มีลูกเล่นหรือดีไซน์อยู่ด้วย เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่มีการออกแบบในลักษณะเฉพาะตัว มีความคลาสสิค
ด้านการบริหารงาน ทั้ง 3 พี่น้องมีการแบ่งงานกันชัดเจน โดยให้คล้ายเดือน รับบทบาทของผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สเรทซิส จำกัด ขณะที่พิมพ์ดาว รับหน้าที่ดีไซน์เนอร์เสื้อผ้า ส่วนมทินา รับหน้าที่ดีไซน์เนอร์เครื่องประดับแบรนด์ มาทีน่า อมานิต้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไลน์สินค้าที่อยู่ในบริษัทเดียวกัน
การเริ่มต้นของธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงปี 2545 ที่จังหวะนั้นศูนย์การค้าเกษร พลาซ่า มีการปรับปรุงพื้นที่ใหม่ ทางแบรนด์ Sretsis จึงเข้าไปเปิดร้านแห่งแรกขึ้นที่นั่น และเป็นร้านเดียวที่จะมีขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากต้องการให้แบรนด์ Sretsis มีความเป็น exclusive แบรนด์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเสื้อผ้าสไตล์ Sretsis
การสร้างแบรนด์ของ Sretsis ในประเทศนั้น ได้ใช้กลยุทธ์การจัดแฟชั่นโชว์ ซึ่งเข้าร่วมกับการจัดแฟชั่นโชว์ระดับประเทศ อย่างแอล แฟชั่น วีค ซึ่งแบรนด์ Sretsis ถือเป็นหนึ่งในดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมการแสดงแฟชั่นโชว์ดังกล่าว และนับเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ เพราะการแสดงแฟชั่นโชว์ดังกล่าว ได้รับการตอบรับจากลูกค้าและคนในวงการแฟชั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมาก ทำให้แบรนด์ Sretsis เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว