หม่อมราชวงศ์ภวรี สุชีวะ เป็นพระสหายร่วมรุ่นของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งศึกษาในโรงเรียนจิตรลดา ปัจจุบันคุณหญิงหนิงเป็นมัณฑนากรและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภวรินท์ จำกัด ซึ่งมีผลงานออกแบบตกแต่งปรากฏต่อสายตาสาธารณชนมากมาย ทั้งในงานออกแบบเชิงพาณิชย์ให้กับธุรกิจเอกชนต่างๆ และยังเป็นมัณฑนากรผู้ได้รับการไว้วางพระทัยให้ถวายการดูแลด้านสถาปัตยกรรมและตกแต่งภายใน รวมทั้งการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นงานที่ใหญ่และมีความสำคัญยิ่ง จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สิ่งเหล่านี้ ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า คุณค่าของบุคคลมาจากความสามารถและความตั้งใจในการทำงานหนักอย่างแท้จริง มิใช่การก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งโอกาสสถานเดียว
ครอบครัวหม่อมเจ้าภีศเดช กับท่านผู้หญิง ( ดัชรีรัช รัชนี ) ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีมานานแล้ว คุณแม่ก็เป็นนางสนองพระโอษฐ์ ท่านพ่อก็ทำงานถวายในงานโครงการหลวง คือไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่เป็นข้าราชบริพารทำงานถวาย เฉพาะโครงการหลวงก็เข้าปีที่ 30 แล้ว ปกติครอบครัวก็มีโอกาสตามเสด็จต่างจังหวัด ในช่วงแปรพระราชฐาน เวลาโรงเรียนปิดเทอม เวลาหน้าร้อนเสด็จไปประทับที่หัวหิน ทั้งพ่อและแม่ ก็ตามเสด็จ เล่นเรือใบทั้งช่วงเช้าและบ่าย ทุกวัน เด็กๆ ก็ตามเสด็จทูลกระหม่อมแล้วแต่ท่านจะทรงเล่นอะไร
บางครั้งท่านภีศฯ ( ม . จ . ภีศเดช ) ก็นำเสด็จสมเด็จพระบรมฯ ไปเที่ยว เพราะท่านภีฯ เรียนโรงเรียนประจำมาก่อน เป็นนักเรียนอังกฤษ เป็นผู้นำเด็กที่ดี เป็นคนที่ช่างเล่น ทั้งนี้ก็เป็นพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะท่านทรงนำพระโอรสออกเที่ยวเล่นด้วยพระองค์เองไม่ได้ ก็ทรงพระราชทานหน้าที่ให้ท่านภีศฯ บางทีท่านภีศฯ ก็นำเสด็จออกไปต่างจังหวัด เช่น พัทยา ไปตกปลาในทะเล ไปปีนเขา ส่วนที่หัวหินก็มีการนำเสด็จให้ตั้งค่าย กางเต็นท์ ภายในวังไกลกังวล และคอยตั้งรับข้าศึกมาโจมตี เวลากลางคืน แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมาเป็นข้าศึกมาจู่โจม ก็มีการต่อสู้ป้องกันตัวกัน จนเมื่อข้าศึกถอยกลับ ถึงได้นอนพักในค่ายจนเช้า แต่ก็มีการวางตัวเฝ้าเวรระวังภัย
ลักษณะการเลี้ยงดูและการหล่อหลอมอบรมความคิด จนสืบทอดมาเป็นตัวตนของคุณหญิงหนิงในปัจจุบัน
ท่านพ่อของท่านภีศฯ คือ น . ม . ส . ( กรมหมื่นพิทธยาลงกรณ์ หรือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ารัชนี แจ่มจรัส ) ท่านทรงเป็นกวีที่มีชื่อเสียงของไทย ท่านทรงได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และรัชกาลที่ 6 ทรงเรียกกลับมาใช้งานที่กระทรวงการคลัง และท่านเป็นองค์ผู้ก่อตั้งสหกรณ์ ทรงเป็นพระบิดาแห่งสหกรณ์ แต่โดยส่วนพระองค์ ท่านเป็นนักเขียน เป็นกวี และมีโรงพิมพ์ที่วังถนนประมวญ พิมพ์หนังสือพิมพ์ ชื่อ “ ประมวญมารค, ประมวญสาร และประมวญวัน ” ท่านทรงเป็น บรรณาธิการหนังสือเหล่านี้ แต่โชคร้ายที่โรงพิมพ์ถูกฝรั่งเศสทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไฟไหม้ทุกอย่างไม่มีเหลือ ท่านทรงเสียพระทัยมาก อีกด้านหนึ่งของทานภีศฯ และท่านผู้หญิงก็มาจากราชสกุล วรวรรณ ซึ่งมีต้นราชสกุล คือ กรมพระนราธิปประพันธุ์พงศ์ ท่านก็ทรงเป็นกวีเหมือนกัน
ท่านจะเป็นพ่อแม่ ที่ไม่เชยโบราณ แต่ให้ความอบอุ่นกับครอบครัวอย่างเป็นกันเอง ไม่มีการดุว่า หรือออกคำสั่ง ห้ามทำโน่นนี่ หรือแม้แต่ลงโทษก็ไม่เคยมี สมัยเด็กๆ ถ้าร้องไห้ พ่อก็จะอุ้มไปนอกบ้านไปยืนที่เฉลียง ดูดวงดาว และให้ร้องไห้ไป ส่วนพ่อจะเอาช้อนมารองน้ำตา ไอ้เราก็ร้องไปดูช้อนไป จนน้ำตาเต็มช้อน ก็จะเหนื่อยและก็หยุดร้องไห้ บางครั้งเวลาเดินทางไกล บนรถยนต์ พวกเราจะชอบไปเที่ยวกันไกล ๆ คราวนั้นไปถึงมาเลเซีย ขับรถโฟล์คตู้ไป 4 วันกว่าจะถึง นอนค้างแรมไปเรื่อย เราก็พูดไปตลอดทาง จนพ่อให้พูดใส่ขวดและปิดฝาไว้จนเต็ม หวังไว้ว่าเมื่อเปิดขวดจะมีเสียงที่อัดไว้ออกมาให้ได้ยิน สมัยนั้นยังไม่รู้จักเครื่องอัดเทปเลย
พ่อ แม่เป็นญาติกัน เมื่อมาแต่งงานกันก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิท จะไปไหนไปด้วยกันตลอด ท่านจะเป็นคนที่หูตากว้าง เพราะอ่านหนังสือแยะ อ่านทั้งวัน รวมถึงก่อนนอน เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง นึกอยากเล่นเรือใบ ก็ต่อเรือเองเลย ซื้อ Pattern จากอังกฤษ และใช้ไม้ยมหอมกับไม้อัด ใช้ไอน้ำดัดไม้ให้เข้ารูป ใช้กาวอย่างดี แต่บ้านเต็มไปด้วยเศษขี้เลื่อย พอต่อเรือเสร็จ ก็เอาออกแล่นใบไปหัวหิน ออกจากปากน้ำสู่ทะเลไปกับฝรั่งชาวสวิส ระหว่างทางยังไปไม่ถึงไหน ก็ถูกตำรวจจับ นึกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะในเรือมีแต่อาหารกระป๋องไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดา
เมื่อเป็นนักเล่นเรือใบกลุ่มแรกของเมืองไทย ก็เลยมีสโมสรเรือใบที่พัทยา ชื่อ สโมสรราชวรุณ พ่อเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ส่วนมากเป็นฝรั่งที่ทำงานในเมืองไทย และทูตต่างประเทศ นักแล่นเรือใบจะไปแข่งเรือกันทุกเสาร์-อาทิตย์ แม่ก็เล่นเป็นลูกเรือให้พ่อ ตกเย็นก็ร่วมกันทำอาหารกับพวกเหล่าภรรยา เขามีเวรทำอาหารกันคนละอาทิตย์ จำได้ว่าพื้นครัวเป็นทรายปนหิน รู้สึกแม่จะได้ความรู้จากพวกผู้หญิงฝรั่ง เลยทำอาหารและขนมเค้กเก่งจนทุกวันนี้ ส่วนพวกเราก็เล่นทราย เล่นน้ำ หาผีเสื้อตามพุ่มดอกไม้ หรือไม่ก็เก็บลูกมะพร้าวที่ตกใต้ต้นมาทำท็อฟฟี่ เราจะมีพี่เลี้ยงไปด้วย 1 คน คอยอยู่กับพวกเรา เวลา พ่อ แม่ ออกไปเล่นเรือ ครอบครัวเราจะ active กันมาก ถ้าไม่ไปพัทยา ก็จะขับรถพาหมาไปนั่งรถเที่ยวที่สวนลุม บางทีก็เอาเต็นท์ไปกางปิกนิกกัน แต่สมัยนั้น บนถนนมีรถน้อยมาก
ถูกเลี้ยงดูอย่างนี้ เท่ากับเป็นการสอนให้พวกเราได้อยู่และเล่นกับธรรมชาติ เล่นกับดินกับทราย เลยเป็นคนที่ไม่เอื่อยแฉะ สังเกตว่าจะไม่มีระบบอบรมด้วยคำพูด แต่ได้รับแนวทางการดำเนินชีวิตจากตัวอย่างที่พ่อแม่ทำมากกว่า
ส่วนการเรียนพวกเราก็ดูจะอยู่ในแนวทางที่ไม่นอกลู่จนเกินไป ก็ปล่อยสบายๆ ถือว่าโรงเรียนเขาทำหน้าที่เขาดีแล้ว นอกโรงเรียนก็ต้องได้เล่น การเรียนถือว่าเป็นการฝึกสมองให้ใช้ความคิด ส่วนข้อมูลที่เป็นความรู้ทางวิชา และความรู้รอบตัว ก็ให้สมองได้ใช้จำ จบแล้วจะใช้วิชาให้เป็นประโยชน์อย่างไร ก็คงไม่มีใครบังคับเรา ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราก็คงหาวิชาเรียนที่เราสนใจเอง คงจะดีที่สุด
ส่วนท่านภีศฯ เองท่านไม่ได้ทรงเรียนทางด้านเกษตรมาเลย แต่เมื่อเป็นผู้อำนวยการโครงการหลวง ท่านก็บอกว่าท่านทำหน้าที่นี้ได้ดี เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงต้องเลือก ผู้มีความรู้เฉพาะทางมาร่วมงานด้วย ส่วนท่านก็ทรงวางนโยบายและจัดการเรื่องทั้งหมด ด้วยการมองจากมุมกว้าง ทำให้เกิดวิสัยทัศน์ ที่ดีกว่าคนมองและคิดในมุมเฉพาะทางของตัวเอง
ผู้ที่วางกรอบหรือชี้นำให้เลือกเส้นทางการศึกษา และการทำงานด้าน interior design
ก็อย่างที่พูด คือท่านมองมุมกว้างได้เพราะไม่รู้อะไรที่เจาะจงจนเกินไป แต่ก็อย่างว่า ท่านคงเป็นคนฉลาด
ท่านจะไม่แนะให้ลูกเรียนอย่างที่พ่อแม่กำหนด ครอบครัวเราจะไม่กำหนดอะไร เพราะส่วนมากการกำหนดอนาคตเด็ก จะมาจากอีโก้ของผู้เป็นพ่อแม่ ซึ่งถึงเวลาเรามีลูกของเราเอง เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน คือ พ่อแม่บางคนต้องการให้ลูกเรียนหมอ เรียนวิศวะ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของคนเรียนเก่ง หรือต้องการให้รับราชการเพราะมีเกียรติ หรือ พ่อวางรูปแบบไว้ก่อนแล้ว อะไรอย่างนั้นเป็นต้น บางครั้งการคาดการมันกระทบจิตใจของเด็กมาก ถ้าเด็กทำไม่ได้ จะเกิดเป็นผลเสียต่อความมั่นใจของเด็ก และจะรู้สึกเป็น failure จากความหวังดีของผู้ใหญ่นั่นเอง
พ่อจะไม่ขอให้เรียนอะไร แต่จะแนะเมื่อเราไม่รู้จะทำอะไรดี เมื่อจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย พ่อแนะนำให้เรียนทาง art คือให้เรียนการออกแบบอุตสาหกรรม เพราะเห็นว่าสมัยนั้นยังไม่มีใครเรียนอย่างนี้ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษ
จะมาเบนสายเป็น Interior ก็ตอนเข้า Work Shop และต้องทำงานกับเครื่องจักร เลื่อยไม้บ้าง , ขัดเหล็กบ้าง , ฝนแท่งพลาสติกบาง จนร้องไห้ แล้วครูมาเห็นเข้าเลยแนะให้เข้าคอร์สอินทีเรียร์ จะต้องเลือกวิชา major ตอนจะขึ้นชั้นปี 2 พอเรียน จบครูที่สอนก็ปรามาสว่า ถ้าไม่เอาจริงเอาจังกับอาชีพนี้ โดยการไปหางานทำหลังเรียนจบ ก็ไปตายเสียเถอะ ก็เลยออกเดิน สมัครงานกับบริษัทในลอนดอน ก็สมัครไปอย่างนั้น ตามที่ครูแนะ เพราะกลัวโดนครูดูถูก แต่ก็ไม่ได้บอกพ่อแม่ก่อนด้วยว่า จะทำอะไรเมื่อเรียนจบ พอดีหางานได้ ก็เลยอยู่ทำงานต่ออีก 3 ปี แล้วจึงกลับประเทศไทย
หลังจาก 3 ปี ก็กลับเมืองไทย มาทำงานที่ บริษัทไรเฟนเบิร์ก และฤกษ์ฤทธิ์ เป็นบริษัทสถาปนิก แต่รับออกแบบงานตกแต่งภายในด้วย งานแรกที่ได้ทำคือ ปรับปรุงห้องพักของโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล ซึ่งเวลานี้หายไปแล้ว เป็นที่ตั้งของสยามพารากอนแทน
จุดเริ่มต้นในการตั้งบริษัทของตัวเอง
ช่วงที่อยู่ไรเฟนเบิร์ก มีช่วงที่ต้องลาออกมาจากงาน 2-3 ครั้ง เพราะว่าให้นมลูก พอออกลูกก็ลาเค้า 8 เดือนเต็ม พอมีลูกที ก็ลาคลอดที ตั้งใจลาคลอดมาให้นมลูก ตอนหลังนั้นเค้าเลยจ้างเป็น freelance ก็เข้าไปร่วมงานทำโปรเจ็คท์ ระหว่างรับงานกับไรเฟนเบิร์ก ก็เผอิญมี โปรเจ็คท์ ใหญ่ให้มาประกวด แบบทำ show apartment ของโครงการ President Park ในซอย 24 แล้วชนะประกวด เลยต้องตั้งบริษัทรับทำงานนี้เป็นงานแรก
ส่วนชื่อบริษัทก็คิดอยู่เป็นนาน คิดไม่ได้ซักที อยากได้ชื่อคล้าย ๆ Power house เพราะมีคำว่า power ซึ่งเป็นกำลัง เป็นพลังที่ไม่ใช่พลังอำนาจ แต่เป็น energy ที่มันหมุนเวียนอยู่ในบ้าน (house) แต่มันก็ฝรั่งจนเกินไป คนบางคนก็บอก เราเป็นเจ้าของบริษัท ก็น่าจะเอาชื่อตัวเองมาตั้ง เหมือนบริษัทออกแบบของเมืองนอก เขาเอาชื่อผู้ก่อตั้งมาใช้ทั้งนั้น คิดไปคิดมา ไม่ได้เรื่อง จนวันหนึ่ง พ่อก็ลุกขึ้นมาถามว่า เราชื่ออะไร ก็ตอบว่า ภวรี แล้วทำงานอะไร ก็ตอบว่า ทำ Interior พ่อก็บอก เอา Powa(ri) บวกกับ Int(erior) เป็น Powarint ก็จบแล้ว ได้ทั้งชื่อ ทั้งประเภทของงานที่ทำ ยอดมาก ง่ายดี ทุกวันนี้ พ่อก็ยังอวดว่าชื่อบริษัทนี้ พ่อเป็นคนตั้ง แล้วจริงๆ ภวรี นี่พ่อก็เป็นคนตั้งให้เหมือนกัน
แนวทางในการทำงานของบริษัท
งานออกแบบจริงๆ ก็ คือ commercial art นะ เป็นงานที่ให้บริการ เพราะเราไม่ใช่ศิลปินหรือศิลปินรับเชิญด้วย เราจะเป็นคนที่แปรสิ่งที่ลูกค้าฝัน หรือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แต่เค้าพูดไม่ได้ให้เป็นรูปธรรม เราต้องแปรความออกมา เพราะฉะนั้น ดีไซน์เนอร์ถึงจะต้องเป็นเหมือนนักจิตวิทยาบวกกับเอาความสามารถทางด้านการออกแบบอย่างมีศิลปะรวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ฉันชอบแบบไหนก็จะออกแต่แบบนั้น อย่างนี้เป็นอีโก้ของดีไซน์เนอร์ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เราทำงานบริการ แต่บริการ + ศิลปะ และรสนิยม และถึงอย่างไรลูกค้าทุกคนคือนายของเรา เราต้องทำตามนโยบายของเขา อีกข้อหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นข้อคิดของการทำงานอาชีพนี้ก็ได้ คือ งานอินทีเรียร์ เป็นงานที่มีอิทธิพลกับความรู้สึกของคนเรา สามารถทำให้เขามีความสุขและสดชื่นก็ได้ มีความหดหู่ เศร้าหมอง อึดอัด ก็ได้ เพราะสภาพแวดล้อมเหล่านี้ คนด้วยกันสามารถกำหนดให้มันปรับจิตใจมนุษย์ให้เปลี่ยนแปลงไปกับบรรยากาศได้
เช่นการทำบ้านที่สว่างสดใสก็ทำให้บ้านน่าอยู่ ครอบครัวก็มีความสุข ทำ office ให้ภูมิฐาน ก็ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำร้านอาหารให้มีบรรยากาศที่ดี ทำให้อาหารดูน่ากิน หรือทำให้คนกินประทับใจ ก็จะทำให้ร้านนั้นประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง ถ้าเราสร้างผลงานให้ดูดี คนส่วนมากก็จะพลอยได้รับความสุขตามไปด้วย ปรัชญาของการทำงาน ก็คือ เรามีหน้าที่ตอบแทนลูกค้าให้คุ้มกับที่เขามีความเชื่อถือในตัวเรา
ผลงานที่เป็นความประทับใจ
ใครถามก็บอกว่า ทุกงานที่ทำแล้วให้ลูกค้าเค้าพอใจน่ะ เราพอใจมาก เพราะเราถือว่าเป็นหน้าที่ของเรา มีลูกค้าที่มีศักดิ์เป็นพี่ เค้าบอก โอ๊ย ! ทุกวันที่พี่ตื่นนอนตอนเช้า พี่จะรู้สึกขอบคุณที่ทำที่อยู่ให้อย่างสวยสบาย ทำให้มีความสุข อย่างร้านอาหารปันปัน ในซอยสุขุมวิท 31 เป็น family restaurant ก็ประสบความสำเร็จ ทำเสร็จมาแล้วสิบกว่าปี เขาลงทุนไปแยะ แต่ได้ทุนคืนภายใน 7 เดือน และก็ยังดูร่วมสมัยอยู่ ลูกค้าก็ยังแยะอยู่เหมือนเดิม
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกงานจะขาดอุปสรรค เพราะฉะนั้นทุกวันมันเป็นภาระ คือเวลาที่ดีก็เป็นกำลังใจ แต่ถ้ามีปัญหาก็จะมีท้อบ้าง เพราะเราไม่ใช่ทำเสื้อ แล้วขายไป ซื้อไป เอาไปแก้นิดหน่อยใส่ได้…ไม่ใช่ เพราะเราอยู่กับลูกค้า ทำบ้านให้เค้าอยู่ อยู่ไปจนเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มันยากมาก มันไม่ใช่ความฝันที่เขียนในกระดาษ ความฝันนี่ต้องทำให้เป็นจริง แค่เขียนแบบให้คนก่อสร้างก็ยากแล้ว ยังต้องไปคุมเขาก่อสร้างให้เสร็จไปด้วยดีอีก แต่ถ้าดี มันก็คุ้มค่าจริง ๆ
ดูเหมือนผลงานที่คุณหญิงรับออกแบบในช่วงหลังๆ จะเป็นวังเท่านั้น
คือได้มีโอกาสถวายงานสมเด็จพระบรมฯ ในงานออกแบบภายในให้กับพระตำหนักนนทบุรี เมื่อครั้งปรับปรุงครั้งใหญ่ ร่วมกับไรเฟนเบิร์ก ฤกษ์ฤทธิ์ เมื่อประมาณ 18 -19 ปีมาแล้ว และได้กลับมาถวายงานอีกครั้งเมื่อต้นปี 44 เป็นงานออกแบบ ถวายสำหรับพระตำหนักของพระองค์ภา บริเวณตำหนักนนทบุรี
แต่เมื่อไม่ได้ก่อสร้าง ท่านก็เสด็จมาประทับที่วังศุโขทัย เนื่องจากวังศุโขทัยเป็นที่ประทับของ ร.7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เป็นวังที่เล็ก เพราะไม่ทรงมีพระราชภารกิจมาก และทรงประทับกันแค่ 2 พระองค์ เป็นวังที่สวยงามน่ารัก น่าอยู่ แต่ไม่พอกับการรองรับพระราชภารกิจของสมเด็จพระบรมฯ
ระหว่างที่เสด็จมาประทับที่วังศุโขทัย ท่านก็ทรงมีรับสั่งให้มีการต่อเติม เพิ่มและดัดแปลงส่วนต่างๆ ของวัง มีที่ประทับส่วนพระองค์ ส่วนที่ทรงใช้รับแขก และส่วนบริการ ก็ต้องถวายงานทีละเล็กทีละน้อย เป็นส่วนๆ ไป เนื่องจากท่านทรงประทับอยู่ในวังแล้ว
การถวายงานในวังศุโขทัย ถือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถมาก ๆ เพราะเป็นพื้นที่ที่ท่านประทับอยู่ เวลาที่ก่อสร้างก็น้อย พระราชภารกิจของท่านก็มีอย่างต่อเนื่อง อะไรที่ท่านต้องพระประสงค์ ถึงแม้บางคนมองว่ายาก หรือเป็นไปไม่ได้ ก็จะหาทางออกให้ก่อสร้างได้และออกมาดี
พระองค์ท่านทรงดูแลสั่งงานด้วยพระองค์เองทุกเรื่อง และทรงลงรายละเอียดถึงประโยชน์ใช้สอยของทุกส่วน เช่น ส่วนที่ประทับ ส่วนบริการในที่ประทับชั้นใน และของข้าราชบริพารชั้นนอก ท่านทรงตรวจงานด้วยพระองค์เอง เมื่อก่อสร้างใกล้จะเสร็จ และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านทรงจัดซื้อเฟอร์นิเจอร์เอง โปรดที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์โบราณของอังกฤษ ที่ต้องเลือกจากร้านของเก่า เช่น ตลาดของเก่า Antique fair และเอามาซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดให้ดูดี จะไม่โปรดซื้อของที่เขาซ่อมแล้ว ที่มาวางขายในร้าน Antique ในถิ่นแพงๆ และต้องจ่ายเงินด้วยราคาสูงมาก
ผลงานที่ถือว่าเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่
เนื่องจากได้ทำงานถวายมาทีละเล็กทีละน้อย จนท่านทรงวางพระทัย ท่านก็เลยพระราชทานงานต่อเนื่องมาอย่างไม่ขาดระยะ ทั้งวังศุโขทัยและพระราชวังอื่น ๆ ที่ทรงสร้างใหม่ด้วย มีงานซ่อมแซมด้วย ในงานที่ทำถวายมีองค์พระที่นั่งที่สำคัญมากของพระราชวงศ์ คือ พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นองค์พระที่นั่งที่ใช้เป็นที่ประทับ และทรงรับแขกในส่วนของพระราชวังดุสิต รัชกาลที่ 5 ท่านโปรดเกล้าฯ ให้ช่างอิตาเลียนออกแบบ และเริ่มสร้างเมื่อปี 2445 ท่านประทับที่พระที่นั่งอัมพรฯ จนเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นก็เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ท่านพระราชทานให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมฯ ท่านก็ทรงมี พระราชดำริให้ปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ เราทำงานถวายกันเป็นทีมใหญ่ มีการก่อสร้างอาคารใหม่ที่เป็นอาคารบริวารหลายอาคาร องค์พระที่นั่งเองก็ต้องซ่อมแซม ทั้งลวดลายบนฝ้าเพดาน และกำแพงที่เขียนอย่างสวยงาม มีการเดินงานระบบกันใหม่ ทุกระบบมีการสร้างส่วนต่อเติมใหม่ให้เข้ากับองค์พระที่นั่งเก่า มีการปรับปรุง landscape และสร้างถนนให้เชื่อมกับอาคารรายล้อม
โครงการก่อสร้างบูรณะซ่อมแซมพระที่นั่งอัมพรฯ ใช้เวลา 4 ปีกว่า เวลานี้ใกล้จะเสร็จแล้ว เป็นการทำงานถวายที่น่าภูมิใจ ทุกคนที่ร่วมกันถวายงานครั้งนี้ คงจะจดจำด้วยความภูมิใจ เช่นเดียวกับถือเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญในชีวิต
ความภาคภูมิใจในชีวิต
ถึงวันนี้ได้มีโอกาสถวายงานเจ้านาย ตามพ่อแม่ ซึ่งก็ทำงานถวายชีวิตมาจวบเท่าทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นโชคที่ดี ที่ได้มีโอกาสกลับมาทำงานถวาย โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังนี้ เพราะได้ผ่านการทำงานมาหลายสิบปี จนมีประสบการณ์ที่ช่ำชอง พอที่จะมีความพร้อมในการถวายงานที่ถือว่า สำคัญมาก
ความภูมิใจในชีวิต ก็คือ การที่ทรงไว้วางพระทัยให้ถวายงานที่ถนัด เมื่อทรงพอพระทัย ก็ทรงใช้ต่อเรื่อยๆ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแล้ว ไม่ได้หวังอะไรมากกว่านั้นอีก เพราะเราทำงานถวายอย่าง Professional แต่วันที่ปลื้มใจมากก็คือ เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญตราจุลจอมเกล้า เมื่อปี 2545 วันที่รับพระราชทานในวันฉัตรมงคล ก็เป็นวันที่ได้ข่าวที่น่ายินดีเพิ่ม เมื่อลูกสาวคนที่สองโทรมาบอกว่า ได้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขาสอบติด เข้าจุฬาฯ ได้
และในปี 2546 ปีถัดมา ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เหรียญตราจุลจอมเกล้า เลื่อนขั้นอีก และก็เป็นเวลาเดียวกันอีกที่ลูกสาวคนที่ 3 บอกว่าได้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สอบติดจุฬาฯ ได้เหมือนกัน
ภายหลังเมื่อไม่นานมานี้เอง ในวันสงกรานต์ได้มีโอกาสตามเสด็จสมเด็จพระบรมฯ เสด็จไปทรงพระสุหร่ายพระพุทธรูปสำคัญ ประจำพระที่นั่งอัมพรสถาน และท่านได้เสด็จพระราชดำเนินตรวจงานก่อสร้างภายในองค์พระที่นั่ง จนพระเสโทเปียกทั้งพระองค์ แต่ก็ดูพอพระทัย แล้วก็ทรงมีพระกระแสรับสั่งที่ทำให้ได้ซึ้งใจอย่างที่สุดว่า “ที่หนิงทำงานถวายนี่เป็นอานิสงส์ เพราะได้ทำงานถวายพระพุทธเจ้าหลวง”
คุณหญิงคิดว่าตัวเองมีความเหมือนหรือเจริญรอยตามท่านภีศฯ อย่างไรบ้าง
ถ้าเหมือนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์ ก็คือความจงรักภักดี คือถ้าทำอะไรแล้วก็ไม่คิดว่าจะต้องมีผลตอบแทน โครงการหลวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นโครงการที่มีจุดมุ่งหมายที่เป็นประโยชน์หลายอย่างกับสิ่งแวดล้อมและชาวเขากับประเทศชาติ ในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด แล้วนอกเหนือจากจุดประสงค์หลักๆ นั้น คือ การทำงานที่ปิดทองหลังพระ คือเป็นโครงการที่มีประโยชน์มาก แต่ไม่ได้โฆษณา เป็นการปิดทองหลังพระ
ลักษณะของท่านภีศฯ คือคนที่ทำงานถวายแบบปิดทองหลังพระ เพราะว่าท่านเป็นคนที่ไม่อวดตัวนะคะ ติดดิน และ แอคทีฟมาก จนกระทั่งอายุ 83 ยังขับรถขึ้นดอยเลย แต่ก่อนหน้านี้แบกเป้ เดินเป็นวันๆ ก็มี เป็นชั่วโมงๆ ไม่ต้องพูดถึง บางครั้งเดินตามชาวเขา 4 วัน ไม่มีปืนสักกระบอก อย่างโทรศัพท์มือถือเค้าเรียก ตีนถีบนี่นะ..ไม่มี เวลานี้ก็ยังใช้ไม่เป็น แม่ก็ไม่มีโทรศัพท์มือถือ แล้วขับรถขึ้นดอยก็ขับรถคนเดียวนะ สมัยก่อนก็ไม่มี walky talky เดินตามชาวเขาไปท่านก็ทำได้ ไปนอนกินอยู่รอบกองไฟ ชาวเขานอนอย่างนี้ นอนเป็นวงกลม หันเท้าเข้ากองไฟ ท่านทำได้ ไม่เคยบ่น เพราะว่าเป็นธรรมชาติของท่าน ท่านเคยเป็นทหารสมัยเสรีไทย ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลโดยเรือจากอังกฤษ
แล้วก็ความเห็นทัศนคติ หลายๆ อย่างที่เหมือนกัน คิดอะไรเหมือนกัน พูดอะไรเหมือนกัน เป็นคนที่แรงแยะ อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น เวลาที่คนในบ้านมีความเห็นไม่ตรงกัน แบ่งเป็น 2 ฟาก เราก็อยู่ข้างพ่อแน่นอน คือไม่ต้องกระซิบกัน รู้เลยว่าคิดแบบเดียวกัน เป็นคนยึดหลักการ จนกระทั่งบางทีดูเหมือนเป็นคนแข็งไป ที่บ้านเลยมี 2 พวก คือพวกใจอ่อนกับพวกตัวร้าย เพราะเราจะไม่เข้าข้างพวกตัวเอง ถ้าใครทำผิดถึงแม้จะเป็นลูก ก็ต้องได้รับโทษ ไม่ใช่เข้าข้างจนพ้นโทษ แล้วกลายเป็นเด็กไม่รับผิดชอบ เสียคนไป เราจะไม่เกรงใจคนทำผิด นอกเสียจากผิดจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็จะสั่งสอน ตักเตือน เราจะไม่กลัวการตำหนิคนที่ทำผิด แต่แม่จะยอมได้ก็ยอมไป ไม่อยากว่าใคร กลัวคนจะเสียใจ ตกลงคนที่ทำอะไรไม่ดี ก็จะไม่รู้ตัว ทำให้เราต้องอึดอัดใจกันมากกับการกลัวคนเสียใจ
ท่านพ่อคงจะเป็นแบบอย่างของคุณหญิง
คงไม่ได้เรียกว่าแบบอย่าง นิสัยมันเหมือนพ่อมากกว่า ถึงจะเป็นแบบอย่างก็ทำตามอย่างไม่ได้ เพราะพ่อมีความเป็นตัวของตัวเอง และมีแบบฉบับของตัวเองอย่างยากที่จะเลียนแบบได้
สิ่งที่คุณหญิงแตกต่างจากท่านพ่อ
พ่อมีความรู้ความสามารถรอบด้าน มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างสูง และมีชีวิตที่คนต้องอิจฉา คือหาอะไรที่สนุกทำได้อยู่ตลอดเวลา เป็นคนมีชีวิตที่ไม่น่าเบื่อ อยู่นิ่งไม่ได้ เวลานี้ก็นั่งเขียนเรื่องบันทึกของตัวเอง ไปไหน ถ่ายรูป และก็เอากลับมาเขียน พวกเราเทียบไม่ได้เลย
พ่อเป็นคนไม่พูดพล่ามยานคาง คือพูดตรงประเด็น เวลาต้องทำ speech ก็มีวิธีการพูดที่ตลก และพูดออกมาเฉยๆ ไม่มีการเขียน script มาให้อ่าน ใครเขียนให้ก็ไม่ใช้ เพราะไม่เป็นคำพูดของตัวเอง แบบนี้เราทำไม่ได้
ในฐานะที่สืบเชื้อสายมาจากราชสกุลทั้งรัชนีและวรวรรณ ได้วางกรอบอะไรไว้ให้ทายาทรุ่นหลังถือปฏิบัติบ้าง
คิดว่าเรามีลูก ถ้าลูกไปทำเสียชื่อ หรือทำอะไรไม่ดีเราก็รู้สึกว่าเราจะถูกโทษ เราดูแลเค้าไม่ดี ทีนี้ของเราเองเกิดมาในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์ เพราะฉะนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ครอบครัวเป็นคนดี มันก็คงปรากฎออกมาบ้าง บวกกับการถูกอบรมสั่งสอนให้มีมารยาท มีความกตัญญู และทำความดีสำหรับผู้อื่น จะทำอะไรก็ให้คิดถึง ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่ใช่เอาปู่ ย่า ตา ยาย ไปเบ่ง เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง
อย่างท่านภีศฯ มีโอกาสที่จะทำงานถวาย แต่ว่าไม่เบ่ง กลับใช้โอกาสตรงนี้เข้ามาทำโครงการที่มีประโยชน์ถวาย สมมุติว่าไปที่ชาวเขา ก็ต้องบอกว่านี่คือโครงการของในหลวงนะ เอาแบงค์ให้เค้าดู บอกว่ารูปในแบงค์คือในหลวง และนี่เป็นคนของในหลวง และในหลวงต้องการช่วยเหลือชาวเขาให้กินดีอยู่ดี และช่วยเหลือประเทศให้พ้นจากยาเสพติด แต่ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จะมาจับพวกเธอค้าฝิ่น ก็จะกลายเป็นการทำลายกันขึ้นมา ไปเผาฝิ่นเค้า เค้าก็ปลูกมากขึ้น เพราะฉะนั้นเรามี โอกาสถวายการรับใช้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินได้ เราก็ไม่เอาโอกาสนี้ไปเบ่ง แต่ว่าเอาไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ คือทำงานถวายท่าน เพื่อท่านจะได้ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีต่อไป เมื่อคนรักในหลวง ชาติก็จะเป็นปึกแผ่น เพราะมีเครื่องยึดเหนี่ยวที่คนศรัทธา
**********************************
ที่มาจาก: นิตยสารไฮ-คลาส