อวสานของประวัติศาสตร์ศิลป์ โดย ฮันส์ เบลทิง
เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วถึงอวสานของประวัติศาสตร์ศิลป์ อวสานของทั้งศิลปะและวิชาการการศึกษาทางศิลปะ กระนั้นทุกครั้งที่อวสานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มาถึงก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆยังคงดำเนินต่อไป และปรกติแล้วมันก็มักจะเป็นไปในทิศทางใหม่โดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ศิลปะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในปริมาณที่น้อยลง ในทางวิชาการก็ยังคงมีการศึกษาอยู่เช่นกัน แม้จะมีความกระตือรือร้นน้อยลงและมีความกังขาในศาสตร์ของตัวเองมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา สิ่งที่เป็นปัญหาหนักก็คือ มโนทัศน์ของคำว่า “ประวัติศาสตร์ศิลป์” ที่มีความเข้าใจร่วมกันเป็นสากล ซึ่งเป็นมโนทัศน์ที่สนองต่อศิลปินและนักประวัติศาสตร์ศิลป์ในทางที่แตกต่างกันมาเป็นเวลานาน ศิลปินในทุกวันนี้มักปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกระแสที่กำลังดำเนินไปใน ประวัติศาสตร์ ของศิลปะ ในแง่นี้พวกเขากำลังแยกตัวเองออกจากขนบทางความคิดอันมีรากมาจากศิลปินเองนั้นคือ ประวัติศาสตร์ที่เริ่มจาก จอร์จิโอ วาซาริ Giorgio Vasari ในหลายด้านขนบทางความคิดนี้ก็ เพื่อ ศิลปินด้วยกันเอง ขนบซึ่งได้เตรียมการและกำหนดกฎเกณฑ์พื้นฐานไว้ให้ศิลปิน ต่อมาอีกนาน จึงเพิ่งจะมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์เกิดขึ้นมาบนเวทีแห่งนี้ ณ วันนี้ หากนักประวัติศาสตร์ศิลป์ไม่ยอมรับแบบแผนของประวัติศาสตร์ ซึ่งพวกเขาไม่ได้คิดขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงหน้าที่ในการสร้างแบบแผนใหม่ขึ้นมา ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถจะทำได้ ทั้งศิลปินและนักประวัติศาสตร์ศิลป์ต่างสูญเสียศรัทธาต่อกระบวนการที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นเป้าหมายตามธรรมชาติของประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าในทางศิลปะไปแล้ว กระบวนการนั้นก็คือการที่จะต้องมีคนๆหนึ่งทำและถูกอธิบายโดยคนอื่นๆ
ความงุนงงสับสนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจ เพราะเหตุว่า มันสามารถกระตุ้นศิลปินไปสู่เป้าหมายใหม่ และสามารถกระตุ้นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ไปสู่คำถามใหม่ได้ สิ่งซึ่งดูเหมือนว่ามีความชอบธรรมในตัวเองมานาน แต่ขณะนี้กลับทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาดขึ้นมาได้แก่ การสร้างข้อผูกพันกับมโนทัศน์ที่ว่าด้วย “ประวัติศาสตร์” อันเป็นสากลของศิลปะ ซึ่งมโนทัศน์นี้ครอบคลุมทุกอย่างเอาไว้หมด แต่การกล่าวแสดงความเห็นต่อ มรณกรรมของประวัติศาสตร์ศิลป์ แน่นอนว่าไม่ใช่การทำนายถึงอวสานของศาสตร์สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลป์ ประเด็นของเราก็คือ การสลัดให้หลุดออกจากแบบแผนของการอธิบายถึงศิลปะในแบบที่เป็นประวัติศาสตร์ การสลัดให้หลุดออกจากแบบแผนมักจะบรรลุได้ด้วยการปฏิบัติ แต่ก็ไม่ค่อยให้ผลที่ชัดเจนนัก แบบแผนเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในรูปแบบต่างๆมากมายของ ประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์อธิบายถึงศิลปะราวกับว่ามันเป็นระบบอิสระที่ไม่ขึ้นกับอะไร และประเมินค่าได้ด้วยเกณฑ์ภายในระบบของตัวเอง มนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ดัง กล่าวจะมีก็เป็นเพียงศิลปินเท่านั้น หรือมากกว่านั้นก็เป็นแค่ผู้อุปถัมภ์
ประวัติศาสตร์ศิลป์แบบเก่าต้องประคับประคองตัวเองไว้ในวิกฤตการณ์ครั้งแรก เมื่อเผชิญกับกลุ่มอะวองการ์ด Avant-garde1 ที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับขนบของศิลปะที่ผ่านมา และก่อตั้งแบบแผนแห่งประวัติศาสตร์ของตัวเองขึ้น หลังจากนั้นประวัติศาสตร์ของศิลปะก็ต้องประสบกับวิกฤตการณ์อีกสองครั้งที่มาบรรจบกันเข้า ทำให้เกิดแบบแผนที่มีนัยถึง “ความก้าวหน้า” เมื่อดูผิวเผินแบบแผนทั้งสองก็อาจมีความคล้ายคลึงกัน แต่ในเนื้อหาที่แท้จริงแล้วค่อนข้างแยกออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเหตุการณ์นี้ยังคงรักษาความศรัทธาต่อการมีอยู่ของ “ศิลปะ” ไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ศิลปะดังกล่าวไม่ได้ถูกเสนอเป็นภาพด้านเดียวอีกต่อไป มันถูกอธิบายแยกส่วนในฐานะที่เป็นช่วงเวลาสมัยใหม่และก่อนสมัยใหม่ ดังนั้นคำอธิบายด้วยเนื้อหาทางประวัติศาสตร์จึงใช้การไม่ได้อีกต่อไป ณ จุดนี้เองที่อาจก่อให้เกิดแนวร่วมขึ้น ความล้มเหลวนี้เป็นแต่เพียงเผยให้เห็นถึงการดำเนินไปของสองเหตุการณ์ที่พัฒนาการของศิลปะยังคงอยู่รอดได้ด้วยความเข้าใจกันเองในหมู่ของศิลปิน และด้วยการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันของนักวิจารณ์ แต่ในทางวิชาการแล้ว ศาสตร์สาขานี้กำลังค้นหาแบบแผนวิทยาในตัวมันเองด้วยความสิ้นหวัง
ผลของความสับสนสามารถที่จะผลักดันให้เกิดพลวัตที่สร้างสรรค์ขึ้นได้ หากเพียงแต่เหตุที่ผลักดันนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะเราได้มาถึงจุดที่คำถามเกี่ยวกับความหมายและหน้าที่ของศิลปะจะถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันอย่างเกิดประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในบริบทที่กว้างออกไปกว่าประสบการณ์ทางศิลปะทั้งของอดีตและปัจจุบัน ศิลปินในทุกวันนี้ได้รวบรวมทั้งศิลปะแบบอดีตและศิลปะสมัยใหม่เข้าไว้ในภาพเดียวกันเมื่อเขามองย้อนสำรวจกลับไป แต่พวกเขาเว้นที่จะมองศิลปะทั้งสองในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือเป็นมรดกที่ทิ้งไว้เป็นปัญหาให้เผชิญหรือเพื่อให้ปฏิเสธ ในทำนองเดียวกัน ขอบเขตระหว่างศิลปะวัฒนธรรม และประชาชนที่สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นก็กำลังถูกท้าทาย เครื่องมือที่ใช้ในการตีความของประวัติศาสตร์ศิลป์แบบเก่าถูกขัดเกลาอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งมันใช้การไม่ได้อีกต่อไป และในสาขาวิชาซึ่งยุ่งอยู่กับการจัดลำดับเวลาและรายการข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ไม่มากก็น้อยนั้น กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติเลย การข้ามพรมแดนระหว่างศิลปะและสังคม หรือ “ภูมิหลัง” ทาง วัฒนธรรมที่ศิลปะนั้นเกิดขึ้น ต้องการเครื่องมือและเป้าหมายในการตีความที่ต่างออกไป มีเพียงทัศนคติที่เป็นความคิดค้นหาทดลองเท่านั้นที่มีท่าทีว่าจะได้คำตอบใหม่ๆ แม้ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ยังคงไว้ซึ่งความถูกต้องทางวิชาการ แต่พวกเขาก็สามารถให้คำตอบใหม่ๆได้เพียงน้อยนิด เพราะพวกเขาทำตัวเหมือนนักปรัชญาปฏิฐานนิยมที่ยึดมั่นเชื่อถืออย่างเหนียวแน่นเฉพาะแต่เพียงข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น หรือเหมือนกับผู้ชำนาญเฉพาะทางที่ปกป้องสาขาวิชาของเขาไว้อย่างหวงแหน และจะต่อต้านคนอื่นๆว่าเป็นพวกไม่รู้จริงไม่รู้ลึก
ณ วันนี้ ศิลปินได้ร่วมกับนักประวัติศาสตร์ศิลป์ในการคิดทบทวนใหม่ต่อบทบาทหน้าที่ของศิลปะ และกำลังท้าทายต่อขนบของศิลปะที่อ้างเอาความชอบธรรมที่เป็นเอกเทศในทางสุนทรีย์ ศิลปินที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเคยเข้าไปศึกษาผลงานฝีมือชั้นครูชิ้นเยี่ยมในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ปัจจุบันพวกเขาเข้าไปเผชิญกับประวัติศาสตร์ทั้งมวลของมนุษยชาติใน บริทิซมิวเซียม และรับรู้เอาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมแห่งอดีต ในกระบวนการนี้ได้กลายเป็นการตระหนักถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของเขาเอง ความสนใจทางมานุษยวิทยากำลังมีอิทธิพลเหนือความสนใจที่จำกัดเฉพาะในทางสุนทรียศาสตร์ ความคิดแบบอดีตที่ว่า ศิลปะและชีวิตเป็นสิ่งตรงกันข้ามและไม่อาจเข้ามารวมกันได้นั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยสาเหตุที่ว่า ศิลปะได้สูญเสียความมั่นคงในฐานะที่เป็นแนวหน้าไปเสียแล้วเมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆที่ใช้ภาพ และใช้ภาษาในการสื่อสาร และน่าจะเป็นที่เข้าใจว่ามันเป็นเพียงหนึ่งในระบบของการเสนอและการอธิบายโลกที่มีอยู่มากมายหลากหลาย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้เปิดไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ แต่ก็นำปัญหาใหม่มาสู่ศาสตร์สาขาวิชาซึ่งเคยสร้างความชอบธรรมในการแยกสิ่งที่กำลังศึกษา อันได้แก่ศิลปะออกจากขอบเขตขององค์ความรู้และการทำความเข้าใจความหมายของศาสตร์สาขาอื่น
นี่ไม่ใช่การเสนอแนะว่า นักประวัติศาสตร์ศิลป์จะต้องละทิ้งผลงานศิลปะที่เคยเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการค้นหาของพวกเขา และไม่ใช่การเสนอว่าพวกเขาจะต้องหยิบยืมความรู้จากประวัติศาสตร์ทางสังคมวิทยา หรือจากสาขาวิชาอื่นใดที่พวกเขาควรจะหาให้กับตัวเอง บทบาทของศิลปะในสังคมและคุณลักษณ์ของศิลปะแต่ละชิ้นซึ่งหมายถึงสถานะของมันที่เป็นภาพหรือความเป็นรูปเป็นร่างของมันนั้น เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าควรแก่ความสนใจทางวิชาการอยู่แล้ว และยิ่งคู่ควรแก่การศึกษากว่าที่เคยเป็นมาเสียอีก บทบาทของศิลปะในสังคมของเรา อย่างน้อยตามที่ปรากฏชัดเจนอยู่ในขนบของมัน ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนพอๆกับวิถีทางที่มันจะดำเนินต่อไป ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ พวกเราไม่ได้เดินมุ่งไปข้างหน้าในหนทางแคบๆของประวัติศาสตร์ศิลป์ในทิศทางเดียวอีกต่อไปแล้ว แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเราได้ใช้ช่วงเวลาหยุดพักชั่วขณะหนึ่ง เพื่อทบทวนตรวจสอบถึงความเหมาะสมและสถานะอันหลากหลายของศิลปะในศตวรรษที่ผ่านๆมาและในยุคของสมัยใหม่ ศิลปินปัจจุบันกำลังคิดทบทวนถึงงานของตัวเขาเอง และทบทวนถึงความอยู่รอดที่เป็นไปได้ของสื่ออย่างจิตรกรรมและประติมากรรมในแสงสว่างแห่งมรดกทางประวัติศาสตร์ของศิลปะ ส่วนนักประวัติศาสตร์ก็กำลังทดสอบแบบแผนในการบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ศิลป์ในลักษณะที่ต่างออกไป ซึ่งไม่ใช่ ประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการที่ปราศจากความท้าทาย แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่มีทางออกใหม่ๆให้แก่ปัญหาใหม่ที่ว่าด้วย อะไรทำให้เกิด ” ภาพลักษณ์” และอะไรที่ทำให้เชื่อแน่ได้ว่า ภาพนั้น “เป็นความจริง” ณ เวลาขณะที่มันเกิด ในท้ายที่สุด ปัญหาที่ว่าด้วยสถานะของสมัยใหม่ที่เผชิญหน้ากับศิลปะร่วมสมัยกำลังต้องการความสนใจอย่างกว้างขวางจากศาสตร์สาขาวิชานี้ ไม่ว่าเราจะเชื่อในแนวคิดหลังสมัยใหม่หรือไม่ก็ตาม
ณ สถานการณ์ปัจจุบันของประวัติศาสตร์ศิลป์ในฐานะสาขาวิชาหนึ่ง และภาวะที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ของศิลปะในแง่ที่เป็นปรากฏการณ์ย่อมทำให้เราไม่อาจได้มาซึ่งคำตอบโดยง่าย การริเริ่มให้มีการอภิปรายถกเถียงกันอย่างจริงจังถึงปัญหาที่ดูพื้นๆสำหรับนัก ประวัติศาสตร์ศิลป์ทั่วไป ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นเสียยิ่งกว่าการเสนอกรอบขั้นตอนใหม่ในการศึกษา อันที่จริง สิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดก็คือ “ระบบ” ใหม่ หรือระบบใดระบบหนึ่งของประวัติศาสตร์ศิลป์ ในทางตรงกันข้าม ข้าพเจ้าเชื่อว่า ณ วันนี้มีเพียงการยืนยันที่ยึดถือไว้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว หรือแม้แต่ยึดถือไว้เพียงบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงความเป็นไปได้อยู่ ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าอาจจะตัดสินด้วยพื้นฐานที่มีจากภาษาเยอรมัน ซึ่งอาจดูเป็นข้อด้อยในสายตาของผู้อ่านภาษาอังกฤษ แต่นี่ก็อาจยืนยันได้ว่า แม้ในโลกที่เรียกว่าไร้พรมแดนแล้วก็ตาม จุดยืนของ ปัจเจกชนแต่ละคนก็ยังคงหยั่งรากลึกและจำกัดอยู่ในขนบทางวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง และนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในทางศิลปะมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ประเด็นของข้าพเจ้าที่จะกล่าว ณ ที่นี้ …
จักรพันธ์ วิลาสินีกุล : ผู้แปล
แปลจาก Hans Belting : The End of the History of Art ?, 1984 ; Art History and Its Methods, London , Phaidon Press, first published 1995, pp. 293-295.
ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาเยอรมัน Das Ende der Kunstgeschichte, M?nchen, 1984 หลังจากนั้นอีก 10 ปี ฮันส์ เบลทิง นำกลับมาเขียนใหม่และขยายความออกไป ใช้ชื่อหนังสือว่า Das Ende der Kunstgeschichte. Eine Revision nach zehn Jahren, M?nchen, 1994 เขาได้เพิ่มเติมบทที่ว่าด้วยสถาบันศิลปะ ณ ปัจจุบัน และได้บันทึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่พึงสังเกตในประวัติศาสตร์ศิลป์ในโลกของสื่อใหม่ และมีบทหนึ่งที่อุทิศให้กับปีเตอร์ กรีนอเวย์ Peter Greenaway ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ข้อความที่คัดมานี้ ตัดตอนมาจากบทนำในฉบับแรกที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ The End of the History of Art?, translated by C.S. Wood, Chicago , University of Chicago Press , 1987, p.p. ix-xii.