Throwing a stone towards the past โดย สมพงษ์ ทวี
ผลงานชุดนี้ของธเนศเป็นการเล่นกับตัวเอง ถามหาตัวเอง และพยายามที่จะแสวงหาคุณค่าความหมายในแง่มุมต่างๆของชีวิต ปรากฏการณ์ในจิตรกรรมได้มีสภาพเหมือนการต่อรอง เป็นภาวะระหว่างความจริงกับความลวง ให้ความรู้สึกคลับคล้ายการเดินทางไปสู่ความฝัน แต่เป็นความฝันที่อัดแน่นด้วยอารมณ์อันไม่แจ่มชัด มีเหตุผลและทั้งไร้เหตุผล
การนำเสนอของภาพวาดชุดนี้ใช้ขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อผู้ชมยืนเฉพาะหน้ามันได้สร้างผลสะเทือนราวกับจะดึงเอาตัวผู้ชมนั้นเข้าไปด้วย ความงุนงง ความพลุ่งพล่านที่ไหลหลั่งอยู่ในภาพประดุจจะมีชีวิต มีพลัง เร่งเร้าและเขย่าโลกภายในของความเป็นไปทั้งสิ้นทั้งปวงให้เกิดคำถาม แน่นอนว่าในกระบวนการในการแสดงออกนั้น เราอาจจะเห็นว่าตัวศิลปินได้รับอิทธิพลทางปรัชญาตะวันตกมาไม่น้อย เลยดูห่างไกลจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของพื้นภูมิชีวิตไปบ้าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งผิดพลาดอันใด แม้ว่าเขาจะอ้างปรัชญาตะวันตก แต่โดยเนื้อแท้แล้วธเนศมิได้มุ่งจะวิเคราะห์ระบบวัฒนธรรมในการใช้ชีวิต ตรงข้ามวัฒนธรรมการใช้ชีวิตอาจจะเป็น “สิ่งอื่น” ที่ไม่มีความหมายต่อการกล่าวถึงในผลงานชุดนี้ โลกข้างในต่างหากคือประเด็นสำคัญที่เขาปรารถนาจะเอื้อนเอ่ยออกมา เป็นการพยายามที่จะพูดถึง “ข้างใน” ของตนเองด้วยการผ่านภาพเขียน หากมีคำถามว่าจะมีประโยชน์อันใดต่อผู้ชมที่จะพบว่าผลงานภาพเขียนที่ตนกำลังเสพชมอยู่นั้น คือการที่ตัวศิลปินใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเข้าถึงโลกภายในของเขาเอง คำตอบก็คือว่าชีวิตย่อมมีคุณค่าต่อชีวิต ลมหายใจย่อมสะท้อนภาพของลมหายใจ เราเรียนรู้จากกันและกัน ประสบการณ์จาก “ผู้อื่น” ย่อมให้คุณค่าแก่เราเสมอ ความจริงในการดำรงอยู่ก็คือการเรียนรู้และเข้าใจระหว่างกัน ซึ่งเมื่อถึงที่สุดมันก็คือการทำความเข้าใจชีวิตทั้งมวลนั่นเอง
กล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าผลงานของธเนศจะเป็นการบอกเล่าชีวิตทั้งสิ้นทั้งปวง แต่เป็นชีวิตเฉพาะ เป็นการถามหาตัวตนของเขาและผู้เสพชมก็จะได้ทำความเข้าใจในองค์ประกอบด้านต่างๆของอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดของตัวศิลปิน เพื่อย้อนกลับมาพิจารณาดูตนเอง เมื่อศิลปินนำเอางานศิลปะเป็นการแสวงหาธาตุแท้ของตัว ผู้เสพชมก็น่าจะไตร่ตรองตนด้วยการพินิจใคร่ครวญผลงานศิลปะ
โดยทั่วไปอาจเห็นว่าธเนศได้มุ่งเอาด้านมืดของชีวิตเป็นโจทย์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่แน่ใจในชีวิตของเขาเองที่กำลังดำเนินไป มันได้เสนอให้แลเห็นว่า สำหรับเขาแล้วโลกล้วนให้สาระอันไร้สาระ เขาแสวงหาดวงประทีปอันเรืองรอง เพื่อนำทางไปสู่จุดหมายที่สูงส่ง แต่ชีวิตของเขา โลกภายในของเขาคลุกเคล้าและอัดแน่นด้วยคำถาม ชีวิตในภาพเขียนคือ “ข้างใน” ของชีวิตผู้ สร้างสรรค์ คือปรากฏการณ์ทางจิตสำนึกของตัวศิลปิน ซึ่งแฝงไว้ด้วยความหม่นหมอง ความว้าเหว่ ความโดดเดี่ยว ศิลปินมุ่งแนะตัวเองให้เกิดความสว่างด้วยข้อแม้ของการตั้งสมมติฐาน แต่เขาเองก็ยังดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงขังของความแปลกแยกที่ไม่ได้มีใครสร้างขึ้นมา นอกเสียจากความปริวิตกของตนเอง
ผลงานชุดนี้เต็มไปด้วยปริศนาและความกังวลใจ ศิลปินได้ถ่ายทอดความเป็นไปของระบบทางความคิดออกมาสำหรับประกอบเข้ากับจิตรกรรมเพื่อสร้างเนื้อหา ภาพหนึ่งคือความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งและในระดับหนึ่งนั้นก็ซ้อนทับเข้าหากันเรื่อยๆ นั่นก็คือความกดดันที่ค่อยๆเผยตัวอย่างช้าๆ ปัญหาที่น่าขบคิดตามมาก็คือความกดดันที่ว่าคืออะไร ตรงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของศิลปินโดยแท้ เราในฐานะผู้เสพชมคงไม่จำเป็นต้องตามหาเรื่องส่วนตัวของศิลปิน แต่ทำอย่างไรเล่าเราจึงจะเข้าถึงพลังของความกดดันที่เผยตัวออกมาและนำมาเป็นสาระที่พึงสดับในแง่ของปรัชญา ถึงที่สุดศิลปะไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึก แต่ศิลปะพยายามพูดถึงความหมาย ศิลปะไม่ได้เป็นการตระหนักรู้ว่าสวยหรือไม่สวย ศิลปะไม่ใช่งานฝีมือ แต่ศิลปะคือเครื่องมือที่จะถ่ายทอดความคิดระหว่างผู้สร้างกับผู้รับ
ภาพวาดชุดนี้มิได้สวยงามและคงจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความงามในหนทางของภาพเขียนที่แลดูเพื่อสนองตอบว่างดงามหรือไม่ แท้จริงแล้วธเนศปรารถนาจะทำให้ศิลปะของเขายิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วยตัวเนื้อหาและเขาได้ ” พูด” ผ่านภาพเขียน โดยสำนึกว่ามันคือปัจจัยอันเกื้อกูลกันระหว่างความคิดกับจินตนาการ ศิลปินได้ดุ่มด้นเข้าไปในจิตสำนึกและครุ่นคิดมากกว่าที่จะโวยวายและกู่ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ภาพชุดนี้คือการเข้าภวังค์ คือความเงียบที่กึกก้องอยู่ภายใน เป็นความคิดมากกว่าที่จะเป็นความรู้สึกและมีจุดประสงค์ที่มุ่งแสวงหาตัวเอง เพื่อสนองต่อการตอบคำถามในปัญหาว่าด้วยชีวิตและการมีอยู่
ศิลปินได้สร้างสถานะหนึ่งของจิตรกรรมขึ้นมา ไม่ใช่เพราะความพลุ่งพล่านของอารมณ์แต่เป็นการแตกปะทุของความคิด การแสวงหาเข้าไปในโลกทัศน์ใหม่ๆเพื่อทำความเข้าใจในการหลับและตื่น การเกิดและการตาย พร้อมกันนั้นศิลปินต้องการจะหลุดพ้นออกไปจากความสงสัย เขาปรารถนาจะรู้และแจ้งชัดกับการดำรงอยู่ ศิลปะได้ปรากฏขอบเขตอันไร้ที่สิ้นสุดด้วยการนำเสนอ “ความคิด” ที่มากกว่าขนาดของชิ้นงาน เมื่อสิ้นสุดขนาดคือ “ที่ว่าง” และความคิดก็คือที่ว่าง ศิลปะบรรจุโครงสร้างไว้ในปริมาณหนึ่งและนำไปสู่การไตร่ตรองอันกว้างไกล …
ที่มา: สมพงษ์ ทวี ‘. “Throwing a stone towards the past.” Art4d ฉบับที่ 46 ( กุมภาพันธ์ 2542), หน้า 43-44.