โขนชักรอก นับเป็นวิวัฒนาการ ของการแสดงโขน อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยมีผู้เขียนไว้ เป็นหลักฐาน โขนชักรอก คือ การแสดงโขน ที่ชักรอกตัวโขน ให้ลอยขึ้นไปจากพื้นเวที มีทั้งแบบโขนฉาก และโขน หน้าจอ โขนชักรอกที่แสดงแบบโขนฉาก มีกำเนิดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เนื่องจาก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชอาคันตุกะ เข้ามาเมืองไทย อยู่เนือง ๆ ทรงจัดให้มีการแสดงโขนรับรอง พระราชอาคันตุกะเหล่านั้น และทรงมีพระราชดำริว่า โขนชักรอกเหมาะ ที่จะนำมารับแขกเมือง เพราะตัวแสดงในเรื่องรามเกียรติ์ มีบทบาทต้องเหาะเหินเดินอากาศ การแสดง โขนชักรอก จะทำให้ตัวโขน ลอยขึ้นไปจากพื้นเวที เหมือนเหาะได้จริง ๆ รัชกาลที่ ๖ จึงโปรดให้แสดง โขนชักรอก ชุดศึกพรหมาสตร์ หรือหักคอช้างเอราวัณ ดำเนินเรื่องตั้งแต่ อินทรชิต
เข้าพิธีชุบสอน พรหมาสตร์ กาลสูรเสนายักษ์ ไปทูลเรื่องมังกรกัณฐ์กับแสงอาทิตย์ตาย อินทรชิตเสียพิธี จึงออกจาก โรงพิธี สั่งให้การุณราช แปลงกายเป็นช้างเอราวัณ พวกพลโยธา แปลงเป็นเทวดา นางฟ้า ส่วนตนเอง แปลงเป็น พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณไปสนามรบ ตอนอินทรชิตแปลงเป็นพระอินทร์ นั่งอยู่ บนคอ
ช้าง ขึ้นไปลอยอยู่เหนือเวที ส่วนเทวดานางฟ้า รำอยู่บน พื้นที่ สูงกว่าเวที ทำฉากเป็น ก้อนเมฆบังไว้ สมมติว่าเทวดานางฟ้าเหล่านั้น อยู่บนท้องฟ้า เมื่ออินทรชิตแปลงเป็นพระอินทร์ ยกทัพเทวดา นางฟ้า มาถึงสนามรบ พบกับพระลักษณ์ ยกพลวานร ออกมา บนพื้นเวที ผู้ชมก็จะแลเห็น ความแตกต่างระหว่าง ช้างทรงอินทรชิต แปลงเป็นพระอินทร์ ลอยอยู่เหนือเวที และทัพพระลักษณ์ อยู่บนพื้นเวที ทำให้ดูคล้าย ความเป็นจริงว่า ช้างนั้นเหาะได้ ตรงนี้เอง เป็นความตื่นเต้น และสนุกสนานของผู้ชมโขนชักรอก
จากนั้นพระอินทร์แปลงก็สั่งให้ เทวดานางฟ้ารูปนิมิต จับระบำรำฟ้อน พระลักษณ์และพลวานร พากัน เคลิบเคลิ้มหลงใหล พระอินทร์แปลง จึงแผลงศรพรหมาสตร์ ไปถูกพระลักษณ์และพลวานร ล้มตาย ในตอนนี้ เขาจะทำลูกศรหล่น จากบนเพดานเวที สมมติว่าศรพรหมาสตร์ ของอินทรชิตแผลงลงมา จากท้องฟ้า แต่ลูกศรก็ไม่ถูกหนุมาน หนุมานคิดว่าพระอินทร์ลำเอียงไปเข้าข้างพวกยักษ์ แล้วมาทำร้าย พระลักษณ์กับพลวานรก็เกิดความโกรธ เหาะขึ้นไปหาพระอินทร์ มีบทร้องของตัวหนุมานว่า
” ว่าพลางเผ่นโผนโจนทะยาน ” หนุมานก็หกคะเมนเข้าข้างหลืบฉาก ผู้แสดงเป็นหนุมาน อีกตัวหนึ่งซึ่ง อยู่ในหลืบฉาก เตรียมใส่รอกไว้พร้อมแล้ว ก็จะออกแสดงโดยผู้ชักรอก จะชักรอกให้หนุมานลอยขึ้นไป หาช้างเอราวัณ ตรงกับบทร้องที่ว่า “………………………………………. เข้าตีควาญท้ายคชาอาสัญ ง้างหักคอคชาเอรวัณ ชิงคันศรศักดิมัฆวาน ” ตอนนี้พระอินทร์แปลง ก็จะทำท่าเอาศรตีหนุมาน หนุมานยื้อแย่งคันศร จาก พระอินทร์ฉยู่บทรอก ผู้ชมก็จะรู้สึกเหมือนกับ ได้ชมหนุมานเหาะขึ้นไปรบ กับพระอินทร์บนท้องฟ้า พอถึงบทร้อง ของพระอินทร์แปลงที่ว่า ” หันเหียนเปลี่ยนท่าง่าศรจ้อง ตีต้องหนุมานชาญชัยศรี ตกกระเด็นไปกับเศียรกรี สลบพับอยู่กับที่ยุทธนา ”
การแสดงในตอนนี้ เขาจะโรยเชือกที่ชักรอกตัวหนุมาน ซึ่งกำลังกอดหัวช้างเอราวัณลงมาที่พื้นเวที สมมติว่าหนุมานตกลงมาบทพื้นดิน
โขนชักรอกในสมัยรัชกาลที่ ๖ แสดงที่โรงละครมิสกวัน ( ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ ถนนราชดำเนินนอก ตรงข้ามวังปารุสกวัน ตัวโรงละครถูกรื้อไปนานแล้ว ) โรงละครสวนมิสกวัน เป็นโรง ละคร ทันสมัยในครั้งนั้น เพราะก่อสร้างขึ้นมา ตามแบบอย่างโรงละครในทวีปยุโรป
ต่อมาได้มีคณะโขนเอกชน นำการชักรอกตัวโขนไปแสดงในการแสดงโขนหน้าจอ การชักรอกต้องมี สะพานรอก อยู่บนเพดาน วางรางให้รอก เดินตามเพดาน มีผ้าระบาย เป็นภาพ ก้อนเมฆ สำหรับบัง สายรอก ตัวโขนต้องสวมถลกรอก คือผ้าดิบเย็บเป็นแถบ เหมือนกางเกงลิง สวมทับสนับเพลา ก่อนจะ นุ่งผ้ามีหัวเข็มขัดโผล่ออกมา ข้างสะเอวทั้งสองข้าง สำหรับไวัเกี่ยวตา ขอดึงรอกให้ตัวโขนลอยขึ้นไปได้ การชักรอกก็มีข้อผิดพลาดได้เหมือนกัน เช่นกำลังชักรอกอยู่ตามปกติ ตัวโขนก็ทำท่าเหาะ แต่รอกเกิด ติดขัด ไม่เดินต่อไป ทำให้ตัวโขน ต้องห้อยโตงเตง อยู่กลางอากาศ จนกว่าจะแก้ไขให้รอก ทำงานต่อ ตัวโขนจึงจะเคลื่อนที่ต่อไปได้ อีกประการหนึ่ง โขนชักรอก แบบการแสดงโขนหน้าจอ ไม่ค่อยเรียนร้อย และสวยงามเท่าโขนฉาก เพราะโรงโขนหน้าจอ ไม่มีโครงหลังคา ด้านบนที่แข็งแรง คอยรับสายรอก เวลาที่ชักรอก จึงแลเห็นลวดสะลิง ที่ผูกสายรอกห้อยยานลงมา คล้ายเชือกว่าตกท้องช้าง
เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๓ กรมศิลปากร ปรับปรุงการแสดง โขนชุดศึกพรมมาสตร์ โดยให้การแสดง เป็นแบบโขนชักรอก ในตอนหนุมานเหาะขึ้นไปหักคอช้างเอราวัณ หลังจากที่จัดทำบทและเตรียมการ ฝึกซ้อมพร้อมที่จะนำออกแสดง ณ โรงละครศิลปากร ก็พอดีในคืน วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ เกิด ไฟไหม้โรงละครศิลปากร วอดหมดทั้งหลัง กรมศิลปากรจึงต้องสร้างฉากขึ้นใหม่ แล้วย้ายไปแสดงที่ หอประชุมกระทรวงวัฒนธรรม สนามเสือป่า (ปัจจุบันเป็นกองบัญชาการทหารสูงสุด) โดยเริ่มการ แสดงตั้งแต่ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๐๓ ถึง วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๔ รวม ๓๕ รอบ
ที่มา : สำนักการสังคีต