เครื่องประดับยุคกรีก และ โรมัน “Greece and Roman, the eternity of art never die”
ในยุคกรีกโบราณ เริ่มมีการใช้ลูกปัด(Beads)สีต่างๆที่ทำจากหินที่มีรูปทรงตามธรรมชาติ(freeform) และเปลือกหอย(shell ดอกไม้หรือแม้กระทั่งปีกของแมลงเต่าทอง(beetle wing) มาใช้ทำเครื่องประดับและมีการผลิตขึ้นจากโรงงานเป็นอุตสาหกรรมพื้นบ้าน(เชิงหัตถอุตสาหกรรม ด้วยการถัก ทอ สาน มัด เป็นต้น)เพื่อให้ผลิตขายและส่งขายไปทั่วในยุโรป
ยุคนี้มีการผลิตสร้อยคอและต่างหูที่มีความสวยงามและประณีตอย่างมาก โดยคนส่วนมากทางตอนเหนือของกรีซจะนิยมใส่เครื่องประดับเพื่อไปงานพิธีศพกันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อบ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ มักเป็นเครื่องประดับสีขาว เช่น ไข่มุก(pearl) หรือ นิล(Black chalcedony) ในยุคกรีกโบราณ (300 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงเรื่องเครื่องประดับอย่างมากเนื่องจากเริ่มมีการทำเครื่องประดับที่มีสีสันมากขึ้น และมีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีการใช้ Emerald,Garnet,Amethysts and pearl (มรกต, โกเมน, อะเมธิสต์, ไข่มุก ตามลำดับ) ในยุคนี้เริ่มมีการใช้พลอยมาเป็นส่วนประกอบในเครื่องประดับทำให้เครื่องประดับมีสีสันสวยงามมากขึ้น และเริ่มมีการใช้แก้ว, การลงยา(enamel) งานทองในยุคนี้ก็เริ่มมีลวดลายเส้นสายที่ละเอียดขึ้นอีกทั้งยังเป็นที่นิยมในสังคมวงกว้างมากขึ้นอีกด้วย
คริสต์ศตวรรษที่ 8 ในช่วงนี้อิตาลีหรือโรมมีความรุ่งเรืองอย่างมาก เครื่องประดับที่เริ่มมีการผลิตกันมากขึ้นคือ เข็มกลัด สร้อยคอ และต่างหูเป็นหลัก เครื่องประดับในยุคนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคือเข็มกลัด โดยจะมีลักษณะเฉพาะคือที่เข็มกลัดจะมีช่องหรือหลุมเล็กๆ สำหรับใส่น้ำหอม ในยุคนี้ได้มีการผลิตเหรียญทอง 18K & 24K และมีการนำเหรียญทองเหล่านี้มาใช้ตกแต่งเครื่องประดับ
ในยุคโรมันนี้เอง มีการนำเข้าพลอยเนื้อแข็ง(Precious Stone) ตระกูลSapphire จากศรีลังกาและเพชรจากอินเดีย(Indian cut diamond), มรกต(Emerald), โกเมน(Garnet), อำพัน (Amber) ซึ่งใกล้เคียงกับเครื่องประดับในยุคปัจจุบัน
เมื่ออังกฤษอยู่ใต้การปกครองของโรมัน เครื่องประดับอีกอย่างซึ่งเป็นที่นิยมของอังกฤษซึ่งต่อมาโรมันก็ได้รับความนิยมตามด้วยคือฟอสซิลไม้แกะสลักเรียกว่า “เจท(Jet)” ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคนั้น
TEXT : กิตติศักดิ์ กันดิศาคุณานนท์