สุทธิพงษ์ สุริยะ

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เมืองไทยเราคือเมืองเกษตรกรรม เป็นเมืองแห่งน้ำ ความสมบูรณ์ของพื้นที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางการเกษตรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลไหน ไทยเรามีผลิตผลทางการเกษตรหลากหลายทุกฤดูกาล ทรัพยากรทางการเกษตรเหล่านี้มีการปรับปรุง แปรรูป ส่งขายเป็นสินค้าทั้งภายนอกและภายในประเทศมากมาย

แต่สินค้าทางการเษตรเหล่านี้ มักถูกมองข้ามในแง่ของความสวยงาม ทั้งๆที่สีสันและรูปร่างรูปทรงนั้นสวยงามมีเสน่ห์ ไม่แพ้สินค้าทางการเกษตรจากชาติตะวันตกเลยซักนิด สินค้าที่ทุกคนมองข้ามในเรื่องของความสวยงามนั้น ถ้าเรามีมุมมองที่คิดแตกต่างและเห็นจุดเด่นในเรื่องเหล่านี้ เราจะสามารถนำสินค้าที่ดูธรรมดาๆ มาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้ เหมือน  Food Staylist ระดับประเทศ สุทธิพงษ์ สุริยะ หรือ คุณขาบ ที่มีความรักในเรื่องราวของอาหารและสินค้าทางการเกษตร บวกกับมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเดิมๆ ทำให้ในวันนี้เรามีดีไซน์เนอร์ทางด้านอาหารที่ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและกวาดรางวัลมาแล้วหลายเวทีในต่างประเทศ

“เมืองไทยเรายังขาดดีไซเนอร์สินค้าเกษตร ดีไซน์เนอร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมาทำงานด้านการออกแบบสินค้าเกษตรกัน เป็นเพราะเห็นผลช้าและมีความยาก ตรงที่มันเป็นเรื่องของการผสมกันระหว่างศิลปะกับธุรกิจ ซึ่งต้องสามารถไปด้วยกันได้ ตรงนี้เลยไม่ค่อยมีคนมาทำ ที่ผมก้าวมาเป็นสไตลลิสต์ เพราะความชอบส่วนตัว จากธุรกิจครอบครัวที่บ้านหนุนนำ บ้านผมทำธุรกิจซื้อขายพืชไร่ทางการเกษตร ผมอยู่กับวัตถุดิบและทำร้านอาหารด้วย สินค้าวัตถุดิบจำนวนหนึ่งมันก็ไหลเข้าร้านอาหาร อันนี้คือจุดเด่นที่ผมมี ผมเข้าใจวงจรสินค้าเกษตร ซึ่งดีไซน์เนอร์คนอื่นจะไม่มีแบบนี้  ทำให้ผมมองอย่างแตกต่างจากดีไซน์เนอร์คนอื่น แล้วก็โดดเด่นมาเป็น Food Staylist ของประเทศ มันเป็นความจำเพาะ เป็นความต่างที่เราเติบโตมานั่นเอง

สิ่งที่ผมมองคือ ผมไม่เคยเห็นสินค้าเกษตรไทยที่ดูแล้วเป็นแฟชั่นได้ นึกภาพไม่ออก ผมไม่เห็นความสวยของสินค้าเกษตรไทยเลยเมื่อเทียบกับสินค้าทางฝั่งตะวันตก อันนี้ไม่ได้แปลว่าผมชื่นชมสินค้าตะวันตก แต่ผมกลับมองว่าสินค้าทางตะวันออกที่เป็นวัตถุดิบมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อยู่แล้วในตัวมันเองไม่ว่าจะเป็นคุณค่าทางสารอาหาร โภชนาการ การมีสมุนไพรและเครื่องเทศ อันนี้มันเป็นจุดเด่นของสินค้าทางฝั่งตะวันออก

แต่สินค้าเกษตรของเรา พอผ่านกระบวนการแปรรูปโดยดีไซน์เนอร์ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์อาหาร ทุกอย่าง มันทำให้สิ่งที่เราโดดเด่นดูด้อยค่าลงไปด้วยกระบวนการที่เค้ามองอีกรูปแบบนึง ไม่ได้มองเข้าไปถึงตัวตนวัตถุดิบที่แท้จริงของมัน เลยทำให้สินค้าเกษตรของเราซึ่งเดิมมีความโดดเด่น พอผ่านกระบวนการแปรรูปไปสู่การตลาดแล้วมันด้อยค่าลงไป ด้วยกระบวนการคิดของดีไซน์เนอร์ เหล่านี้เป็นเรื่องของทางรัฐบาลด้วย ที่รัฐบาลไม่มีสาขาอันนี้สอนอยู่ในภาควิชา คือเป็นภาควิชาที่สอนอยู่ในคณะอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งมันมีสอนอยู่แล้วในการบรรจุภัณฑ์วิชาอาหาร แต่มันไม่ได้สอนในการดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้มันดูโดนใจ การมองสินค้าเกษตรให้มันเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สวย อีกวิชาหนึ่งคือพวกดีไซน์เนอร์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์อาหารให้มีความโดดเด่นยังไง ไม่มีหลักสูตรนี้ มีแต่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ การออกแบบเซรามิค การออกแบบอินทีเรีย การออกแบบจิวเวลรี่ แต่การออกแบบเกษตรกรรมไม่มีเลย อันนี้มันน่าขบคิด

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม อันนี้คือรากของประเทศ แต่ไม่มีวิชาการออกแบบสินค้าเกษตรกรรม ถ้ามันมีอันนี้มันจะตอบโจทย์ ให้ดีไซน์เนอร์วกกลับมาเห็นคุณค่าของสินค้าเกษตรมากขึ้น แล้วคนก็จะไหลเข้าสู่สินค้าเกษตรในการออกแบบ ทำให้สินค้าเกษตรค่อยๆกระเตื้องขึ้น เราอาจจะมองเรื่องสินค้าเกษตรเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน มันก็เลยไม่ใช่เรื่องจำเป็น จริงๆแล้วสินค้าเกษตรมันเป็นสินค้าประจำวัน แต่ถ้าเราสามารถมองเห็นคุณค่าแล้วนำมาต่อยอดสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม มันจะไปได้ไกล เพราะว่าเรามีพื้นฐานที่ดี เนื่องจากบ้านเรามันเป็นเมืองเกษตรกรรม เมืองไทยไม่ใช่เมืองแฟชั่น แค่ต่อยอดแค่นั้นเอง ง่ายมาก คือหาคนที่มีทักษะเฉพาะด้าน หาคนที่มีความโดดเด่นมาให้ความรู้ เพื่อที่จะให้สินค้าเกษตรของไทยก้าวสู่เวทีโลก ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นเมื่อถูกแปรรูปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้คนซื้อด้วยอารมณ์ อารมณ์มาจากอะไร อารมณ์มาจากดีไซน์ ถ้าเราสามารถใส่ดีไซน์ในสินค้าเกษตรได้ มันก็มีมูลค่าอย่างที่เราอยากตั้ง เท่าไหร่ก็ได้ จุดนี้มันเป็นจุดที่ใหญ่ของประเทศ คนมักมองข้ามและไม่มีคนสนใจ มองไม่เห็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่มีคุณค่า ถ้าเรามองเข้าถึงแก่นมันไม่ต้องไปมองอะไรที่ไกลตัว มองที่ใกล้ตัว เติมเต็มให้มันสมบูรณ์ก็สามารถโดดเด่นด้วยรากของมันได้ ผมมองประเด็นนี้ว่าเป็นเรื่องใหญ่”

คุณขาบมองว่าเสน่ห์ของศิลปะบนจานอาหารอยู่ตรงไหน

“ผมว่าทุกคนจะสุขใจและเบิกบานใจ เมื่อได้เห็นความงามของวัตถุดิบอาหารถูกนำมาปรุงเป็นเมนูต่อเมนู เพราะวัตถุดิบจากอาหารที่นำมาปรุงนั้นมันมาจากทั่วสารทิศ โดยฝ่ายจัดซื้อเป็นคนสั่งเข้ามาในร้านโรงแรม วัตถุเหล่านี้มันก็จะมีในเรื่องของสีสันของมันที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ซึ่งจะมีความสวยของตัวมันเอง วัตถุดิบจะมีรูปทรงรูปร่างที่ไม่เหมือนกัน ตรงนี้แหล่ะคือเสน่ห์ มันเป็นศิลปะที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มกายอิ่มใจ มันเป็นศิลปะที่คนกินได้ ส่วนศิลปะอย่างอื่นมันทำให้คนแค่สุขใจ เพราะมองเห็นแล้วสุข แต่ว่าถ้ามีศิลปะบนจานอาหารมันสุขกายสุขใจ เรากินเพื่อที่จะให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง มันตอบโจทย์คือสุขกาย แต่ศิลปะบนจานอาหารมันทำให้เราสุขใจ มันตอบโจทย์ทั้งกายและใจ อันนี้แหล่ะคือสิ่งที่ผมเห็นว่ามันคือศิลปะชั้นสูงสุด”

สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของคุณขาบ

“ผมจะติดตามอัพเดทจากแมกกกาซีนทั่วโลก ผมสั่งแมกกาซีนอาหารจากทั่วมุมโลกเข้ามาที่ออฟฟิศเฉพาะหัวนอกเดือนละประมาณ 16 หัว ในแต่ละเล่มผมก็ดูเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้เราจะนั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่หนังสือแต่ละเล่มมันมีการอัพเดทข้อมูลอาหารครบเลย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร นิวแพคเกจจิ้ง สินค้าที่ออกใหม่ บุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านอาหาร เขากำลังทำอะไรกัน แล้วก็การดีไซน์หนังสือ หรือว่าการทำคอลัมน์ต่างๆซึ่งอันนี้ทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่นเพราะว่า ผมเป็นคนอ่านหนังสือ แล้วผมก็เป็นคนที่เก็บรายละเอียดจากหนังสือเยอะมาก ซึ่งบ้านเราการที่คนจะเป็น food stylist หรือจะเป็นคนทำคอลัมน์อาหารได้ดี สิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมคือต้องดูหนังสือเยอะๆ หนังสือของค่ายต่างๆหนังสือของตัวบุคคลที่เป็นบุคคลที่ทำธุรกิจอาหารผมไม่ได้มองมันเป็นแมกกาซีนอาหารนะ ผมมองในเรื่องของธุรกิจมากกว่า

มีสามคนที่ผมชื่นชอบ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นสามคนที่แปลงโจทย์ออกมาแล้วป็นเรื่องเดียวกันด้วย คนแรก  Donna Hay ชาวออสเตรเลีย เป็น food stylist คอนเซ็ปต์ที่เค้านำเสนอ เค้านำเสนออาหารที่ไม่มีพร็อพ ไม่มีองค์ประกอบอื่น อาหารสวยด้วยวัตถุดิบ อยู่บนจานขาว นำเสนออะไรที่เรียบง่ายและคลาสสิค อันนี้คือแก่นของ Donna Hay คนที่สองคือ jamie oliver หนุ่มอังกฤษผู้นำเสนออาหารซึ่งเจาะได้ตรงประเด็นคือขายความมีชีวิตชีวา และความเป็นธรรมชาติ เน้นความเป็นธรรมชาติของอาหาร อันนี้คือจุดเด่นของ jamie ที่อยู่ฝั่งอังกฤษ ส่วนฝั่งอเมริกา Martha Stewart เป็นผู้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสไตล์และอารมณ์ของงาน จะเห็นได้ว่าในโซนสามประเทศของผู้นำโลก ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อังกฤษ และก็โซนยุโรป เค้าพูดเรื่องเดียวกันเลย คือเรียบง่าย ดูดี มีชีวิตชีวา งานของเค้ามีสไตล์ สามอันนี้เป็นแก่นของโลกเลย แล้วผมก็จับสามอันนี้มาต่อยอดธุรกิจผม ขาบสตูดิโอ เลยกลายเป็นจุดที่มองว่าผมทำงานที่แตกต่างจากคนอื่น อันนี้ทำให้เรารู้สึกว่าโดดเด่นกว่าบุคคลทั่วไปตรงที่ว่าเราใส่ใจในรายละเอียด สามคนนี้คือแรงบันดาลใจ แล้วแรงบันดาลใจไม่ได้แปลว่าเค้าทำอาหารสวยอย่างเดียว ทำอาหารออกมาตามคอนเซ็ปต์ และเค้ายังเป็นนักธุรกิจด้วย เพราะเค้าทำสินค้าในแผนกที่เกี่ยวข้องกับอาหารครบเกือบทุกอย่างเลย

อย่าง Donna Hay เนี่ย ก็มี ตำราอาหาร ที่เป็นธุรกิจที่ขายดีมาก หลังจากนั้นก็มีการออกโปรดักส์เกี่ยวกับอาหารไม่ว่าจะเป็นจานชาม ทุกอย่างในห้องครัว ขายแป้ง ทำขนม ขายในช็อป ในห้าง ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่โต แล้วก็มีรายการทีวีของตัวเอง อย่าง oliver เค้าจะมีเครื่องปรุง รายการทีวี มีทุกอย่าง ขายทุกอย่าง เป็นนักธุรกิจอาหารที่เอาสไตล์มาขาย นี่คือสิ่งที่เมืองไทยยังไปไม่ถึงตรงนั้น เมืองไทยไม่มีที่ๆจะสามารถจะนำเสนอตัวบุคคลออกมาเป็นโปรดักส์ได้ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังขับเคลื่อนอยู่ แล้วก็ผมเริ่มมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอาหารพอสมควรแล้ว”

เมื่อพบเจอกับปัญหา คุณขาบมีวิธีก้าวข้ามผ่านปัญหาอุปสรรคอย่างไร

“ผมมองโลกในแง่ดีและแง่บวก เป็นคนอารมณ์ดี นี่คือจุดที่มีความโดดเด่น มองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆเวลาเจออะไรมาก็นิ่ง แล้วทุกอย่างมันก็จะข้ามไป ผมทำสมาธิก่อนนอนทุกคืน ทำให้เรามีความนิ่ง ความสงบ”

สิ่งคุณขาบตั้งใจที่จะทำในอนาคต

“มีสามโปรเจ็คท์ อันแรกคือ ผมจะเปิดคอรส์ เป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทยเลย เมืองไทยเนี่ยธุรกิจอาหารมักจะเอาพรีเซนต์เตอร์เป็นดารา มันเป็นเรื่องของกระแส แต่สำหรับผมกลับมองตรงกันข้าม ผมจะเปิดครอส์สอนลูกหลาน ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร สอนให้เค้ามีความเก่งอยู่สองอย่างคือ ให้เค้าทำรายการอาหารทีวี ผมเป็นผู้กำกับเค้าสอนให้เค้าเทรน์นิ่งทำรายการอาหารทีวี อันที่สองให้เค้าออกตำราอาหารเป็นของตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้เค้าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เป็นพรีเซนต์เตอร์สินค้าธุรกิจของเค้าได้อย่างยั่งยืนและยาวนาน ผู้ประกอบการอาหารจะได้โผล่หน้าออกไปเป็นที่คุ้นเคย ถ้าเค้าได้อยู่ในวงการอาหารเค้าจะค่อยๆโผล่มาตามรายการอาหารที่เค้าเป็นเจ้าของรายการอาหารเอง ตำราอาหารก็ทำเอง ซึ่งจะเป็นผลดีกับเค้าในระยะยาว อันนี้ผมกำลังทำฝึกอยู่

อันที่สองที่ผมจะทำสตูดิโอรายการทีวี คือมีรายการอาหาร การปรุงอาหารง่ายๆ สอนเทรน์การทำอาหารแบบมีสไตล์ โดยเรามาเป็นผู้กำกับเอง
ซึ่งจะให้รายการอาหารแตกต่าง คือขายอยู่สามอย่างคือ ไลฟ์สไตล์ ความเรียบง่าย ธรรมชาติ สิ่งที่ผมกำลังดึงโจทย์ของสามคนเอามานำเสนอ เพราะว่าตอนนี้รายการทีวีบ้านเราบอกได้เลยว่าไม่สามารถขายคอนเทนท์ให้ชาวต่างชาติได้ รายการทีวีจำนวนมากคือขายสปอนเซอร์จนรายการไม่สวย ถ้ามีรายการอาหารที่สวย เก๋ ทันสมัย มีดีไซน์ คนสนใจที่จะซื้อคอนเทนท์รูปแบบที่ผลิตออกมาไปเผยแพร่ยังต่างประเทศได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้เราคิดต่างจากคนอื่น เพราะเราไม่เคยขายคอนเทนท์รายการอาหารให้กับต่างชาติเลย มีแต่เราซื้อคอนเทนท์รายการอาหารฝรั่งมาเมืองไทย แล้วก็แปลไทยทำไมเราไม่ขายคอนเทนท์อาหารเอเชียไปให้ฝรั่ง โดยที่เราพูดภาษาไทย แล้วมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้คือสิ่งที่มันไม่เคยมีในเมืองไทย จริงๆคอนเทนท์นี้มันขายได้ เหมือนเทศกาลหนังเมืองคานส์

อันที่สาม ผมจะออกสินค้าในชื่อของผมเอง เป็น Karb Style  ตอนนี้ก็มีโปรดักส์ออกมา ผมทำแสน็กบ็อกซ์เป็นชุดอาหารว่างกับคุณนก ชลิดา เถาว์ชาลี ที่เป็นพิธีกรรายกรอาหาร Living in Shape ทางช่องสาม ตอนนี้เราทำด้วยกัน ซักพักพอทำไปเดี๋ยวจะมีการต่อยอดทางธุรกิจไปตามทักษะหรือประสบการณ์ที่มันเดินผ่านมา แล้วมันจะค่อยๆไหลไปเรื่อยๆ”

นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้วในอาหารแต่ละชนิดแล้ว สุนทรียะในอาหารที่ผ่านการขบคิดจากดีไซน์เนอร์ฝีมือเยี่ยม ยังสามารถสร้างความสุขทางใจให้กับผู้เสพ เป็นศิลปะชั้นสูงที่ผู้เสพจะได้รับครบทุกรสชาด โชคดีที่วันนี้เรามี Food Staylist อย่างคุณขาบ ที่เล็งเห็นคุณค่า หยิบจับเรื่องใกล้ตัวนำมาแปรรูป ปรุงให้ออกมาเป็นอาหารและสินค้าที่มีไอเดีย มีดีไซน์สวยงาม นับว่าคนไทยเรานั้นมีฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ

 TEXT : Tul Tacit

ภาพ : ขอบคุณภาพสวยๆจาก คุณสุทธิพงษ์ สุริยะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

You may also like...