“คริสต์ศตวรรษที่ 13 ความงามอันเป็นสิ่งต้องห้ามของเครื่องประดับ” คริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งตรงกับยุคกลาง ยุคแห่งความหรูหรา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับ เป็นยุคที่ผู้คนในยุโรปแต่งตัวกันอย่างหรูหรา
แต่ในยุคนี้ในฝรั่งเศสเครื่องประดับอย่างมุก(Pearl) ทอง(Aurora)หรือเงิน(Agentum) รวมทั้งพลอย(Precious stone) ถูกห้ามไม่ให้คนธรรมดาสวมใส่ ผู้ที่สวมใส่ได้เฉพาะคนในสังคมชั้นสูง(Monasty or Duke)เท่านั้นถึงจะสวมใส่ได้ ซึ่งได้ออกมาเป็นกฎที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามซึ่งเหมือนกับในอังกฤษที่มีกฎแบบนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นในยุคนี้เครื่องประดับจึงถูกใช้เป็นตัวบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมเพื่อให้รู้ว่าขุนนางหรือชนชั้นสูงเท่านั้นถึงใส่เครื่องประดับที่มีค่าได้
ในศตวรรษที่ 13 นอกจากเป็นยุคที่สำคัญของเครื่องประดับรวมถึงมีการนำเข้าแล้วส่งออกเครื่องประดับไปทั่วยุโรปโดยมีอิตาลีเป็นศูนย์กลางเครื่องประดับในยุโรป ในยุคนั้นวัตถุดิบในการทำเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นพลอย(Gemstone), เพชร(Diamond), ไข่มุก(Pearl) ต่างต้องทำเข้าจากตะวันออกหรือแถบเอเชีย แน่นอนที่สุดวัตถุดิบทั้งหมดถูกจัดซื้อโดยชาวอิตาเลี่ยนและส่งวัตถุดิบรวมถึงเครื่องประดับที่สำเร็จแล้วส่งขายไปทั่วยุโรป และการที่ขนส่งทางไกลกว่าจะมาถึงอิตาลีทำให้ราคาของเครื่องประดับและวัตถุดิบเหล่านี้มีราคาแพงและในยุคสมัยนี้นี่เองเป็นยุคที่เริ่มการใช้แก้วสีมา(Man-made glass)แทนพลอยสีต่างๆ(Man-made glass gemstone stimulant)ในการมาทำเครื่องประดับตกแต่งเสื้อคลุมและเครื่องประดับสำหรับเด็กเป็นที่แพร่หลายมากในยุโรป ซึ่งประเทศที่สามารถผลิตแก้วแบบนี้ได้ก็คือประเทศที่มีความวิจิตรอลังการทางโลกแห่งศิลปะนั่นคือ “อิตาลี”
ไข่มุกก็ได้รับความนิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเครื่องประดับอื่นใด แต่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรปสำหรับชนชั้นสูงและมุกที่ดีจะต้องมากจาก อินเดียตอนใต้หรือจากเปอร์เซียร์ เท่านั้นซึ่งมีราคาที่แพงมากจึงเป็นครั้งแรกที่มีการคิดค้นทำอัญมณีเลียนแบบขึ้นมาเพื่อใช้แทนมุกโดยมีช่างแก้วชาวเวนิส และมูราโน่ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการทำแก้วมาถึงปัจจุบันนี้ ได้คิดค้นวิธีทำมุกเทียมขึ้นมาในปี 1300 ซึ่งใช้แก้วใสผสมกับไข่ขาวและเมือกของหอยทากผสมกันเคลือบลงบนเม็ดแกนกลางใช้แทนมุกกันอย่างแพร่หลายจึงถือได้ว่ามุกเป็นอัญมณีชนิดแรกที่ถูกทำเลียนแบบขึ้นมาเพื่อทดแทนมุกแท้(Mourano glass pearl stimulant)ที่มีราคาแพงมาก
TEXT : Porsche Kittisak K