ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล

ชายหนุ่มมาดเท่ หล่อเข้ม ตัวสูง สวมเสื้อคอโปโลสีดำ กางเกงยีนส์ คลั่งไคล้เทคโนโลยี รักการถ่ายภาพ หลงใหลในวงการภาพยนตร์ คนที่รู้จักเขาเรียกเขาว่า คุณชายบ้าพลัง คุณชายอดัม ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล หลายคนรู้จักเขาในฐานะโอรสของท่านมุ้ย และหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา และเป็นเจ้าของบริษัท FuKDuK Production ผลิตรายการทีวีแสบๆ คันๆ แบบไม่ไร้สาระบนโลกไซเบอร์ นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้กำกับรายการบันทึกกรรม และช่วยงานท่านพ่อในกองถ่ายตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทุกวันของคุณชายอดัมคือการทุ่มเทแรงใจ แรงกายในการคิด ในการทำงานตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็น ‘คุณชายไฮเปอร์แอ็กทีฟตัวจริงเสียงจริง’

 

 

ตัวตนของคุณชาย

 

ภาพยนตร์เป็นสิ่งเดียวที่คุณชายอดัมรู้จักตั้งขาจะรู้กันว่าอะไรที่ผมจับเป็นพังหมดเลย บทหนังของท่านพ่อก็หายไป2-3 เรื่อง เอาไวรัสไปใส่คอมพิวเตอร์ของท่าน กล้องก็พัง ฉากก็พัง โอ๊ยเละไปหมด กระโดดโลดเต้นไปทั่ว”

 

เมื่อถึงวันที่จะตัดสินใจเรียนต่อ คุณชายเล่าว่าไหนๆ ชีวิตก็รู้อยู่แค่เรื่องเดียวแล้ว ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อด้านภาพยนตร์ เพื่อที่จะเอาดีทางด้านนี้ไปเลย

“ตอนช่วงมัธยมต้นพบว่าตัวเองชอบหนังเรื่องเสียดายมากๆ เพราะว่าเป็นหนังที่มีพลังในการเล่าเรื่อง แล้วมันทำให้คนสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ ก็เลยคิดว่าถ้าภาพยนตร์มีอำนาจในการเปลี่ยนชีวิตของคนได้ มันก็น่าสนใจที่จะเรียนเกี่ยวกับมัน หมอจิตวิทยายังไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เท่ากับคนทำหนังเลย

สมัยที่เรียนอยู่ออสเตรเลียสิ่งที่ผมทำเป็นจริงเป็นจังก็คือการถ่ายภาพนิ่ง แล้วก็ได้ทำงานด้านอีเวนต์เกี่ยวกับพวกประเพณี วัฒนธรรม กำกับมิวสิกวิดิโอ ทำงานสัพเพเหระ งานราช งานหลวง เป็นตั้งแต่ผู้ช่วย รันเนอร์ ยกน้ำ สวัสดิการ ขับรถ คือทำหมดจริงๆ ไม่เลือก เพราะถ้าเลือกเราคงไม่รู้อะไรเลย”

 

สำหรับตัวตนของคุณชายนั้น เขาบอกว่าเป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่คนชอบออกสื่อ ออกงานสังคม แต่จะเห็นเขาได้ตามงานเกี่ยวกับไอที เพราะเขาเป็นคนที่ชื่นชอบ และติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ

“จะให้ผมไปปาร์ตี้ ไปอยู่ในนิตยสารกอสสิป ไม่มีทาง ซ้อเจ็ดจะมาหาข่าวอะไรจากผม มันไม่มี ผมนั่งอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวัน จะเขียนก็ต้องเขียนว่าอดัมนั่งอยู่ในออฟฟิศ มันไม่มีอะไร เวลาว่างชอบทำงาน ผมมีความสุขมากกับการอยู่ออฟฟิศ ผมชอบสะสมเทปรายการ สะสมเพื่อนในเฟซบุ๊กไว้คุยกันเฮฮาปาร์ตี้ สะสมจำนวนงาน พอร์ตดีๆ ภาพถ่าย ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไร วันๆ ทำงาน เข้าออฟฟิศ ใครบอกว่าผมเป็นคุณชาย ต้องไปออกงาน ต้องไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ไปเที่ยวต่างประเทศ ตีกอล์ฟ ขับรถสปอร์ต อยู่ฟังกี้วิลล่า ผมเป็นตรงกันข้าม ไม่ใช่คนพวกนั้นเลย เป็นคนหัวโบราณมากๆ เข้าออฟฟิศ กลับบ้าน นอน ถึงเตียงก็หลับ ดูซีรีส์ CSI”

 

 

คุณชายนักเล่าเรื่อง

 

คุณชายเล่าว่าตนเองเป็นนักเล่าเรื่อง มีเรื่องที่คิด ที่เขียนเอาไว้มากมาย และเรื่องที่เขาอยากเล่านั้น ไม่มีวันหมด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าตนเองมีเรื่องอยากเล่ามากมาย เขาจึงเริ่มหาช่องทางที่จะถ่ายทอดเรื่องเล่าของเขา โดยใช้สื่ออินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางแรก

“การเป็นนักเล่าเรื่องต้องเป็นคนที่ต้องรู้ทุกอย่าง สนใจในการศึกษา การมอง การฟัง การดู อยากรู้อยากเห็น อยากเป็น อยากทำนู่น ทำนี่ เราก็เล่าเรื่องได้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราก็ยังได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ การเล่าเรื่องก็ไม่มีวันหมด ถ้าหมดเรื่องที่จะเล่าคือเราต้องตัดหูตัวเองทิ้ง ปิดตาตัวเอง อุดจมูกตัวเองตาย

ผมต้องเลิกบันดาลใจตัวเอง เพื่อที่จะสร้างแรงบันดาลใจ คนส่วนใหญ่ต้องมานั่งรอว่าต้องมีแรงบันดาลใจ แต่ผมสร้างได้โดยอัตโนมัติ คนเดินไม่จำเป็นต้องสร้างแรงบันดาลใจ ทำไมเราไม่ทำให้งานของเราเป็นแบบนั้นบ้าง เราสามารถทำงานให้คงที่โดยไม่ต้องสร้างแรงบันดาลใจได้ ผมทำได้ ผมคิดได้ โดยที่ไม่ต้องมานั่งรอว่า วันนี้อากาศดี น่าเขียนบทตอนใหม่ หรือน่าคิดเรื่องใหม่ๆ

เราเล่าเรื่องตามที่เราเห็น ตามที่มันเป็น อย่างเช่น ผมไม่ชอบนิตยสารกอสสิป ผมไม่ชอบซ้อเจ็ด ซ้อเจ็ดไปว่าคนอื่น มีความจริงหรือไม่ ไม่รู้ มันไม่ใช่ข่าว ผมก็บอกได้ บอกไปตรงๆ มันเป็นแง่ลบ หรือแง่บวก ผมไม่ทราบ ระหว่างที่บางอย่างผมก็บอกว่าดี อย่างการมีละครน้ำเน่า ผมบอกว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะความบันเทิงเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยอยู่ได้ คนไทยไม่ต้องอยู่กับความทุกข์ ความจริงตลอดเวลาก็ได้นะ เพราะฉะนั้นละครน้ำเน่าก็ไม่ได้ผิดอะไร”

 

เริ่มจากเล็กไปใหญ่

 

แม้ว่าคุณชายจะมีพร้อมทุกอย่างทั้งฐานะ และชื่อเสียงจากท่านพ่อ แต่เขาเลือกที่จะสร้างผลงาน โดยใช้ชื่อ และความสามารถของตนเอง เพื่อให้คนเชื่อ และยอมรับ โดยเริ่มจากการทำบริษัทเล็กๆ ทำสื่อทางอินเทอร์เน็ต เพื่อขยายงานไปสู่งานที่ใหญ่ขึ้น

“ตอนแรกก็คิดว่าเราเรียนจบหนังมา เราน่าจะเข้าวงการหนัง ปรากฎว่าเรานั่งคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเกิดอยู่ดีๆ เราเดินไปขอเงินเสี่ยเจียง 10 ล้าน มันจะได้หรือเปล่า ผมคิดแค่นี้เองครับ ถ้าเกิดเราอยากทำหนัง 1 เรื่อง เราต้องมีทุน มีกล้อง มีไฟ มีนักแสดง ผมถามตัวเองว่าผมสามารถทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า ในวันนั้นเด็กจบใหม่ อายุ 21 ปี ตัวคนเดียว อยู่ดีๆ เดินไปขอเงินจำนวน 10-20 ล้านจากคนๆ หนึ่ง จะหานักแสดงที่จะเล่นหนังให้ เขียนบทเอง ทำอะไรเอง มีใครจะเชื่อเราบ้าง ไม่มี ตอนนั้นมีบทอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว แต่คิดว่าเรายังไม่พร้อม ลำพังตัวเรา เรากระโจนไปได้อยู่แล้ว จะผิดจะถูกเราก็ทำอยู่แล้ว แต่ปัจจัยภายนอกมันไม่พร้อม ไม่มีความเชื่อ โลกบันเทิงเป็นโลกของความเชื่อล้วนๆ เราเชื่อคนบางคนทั้งที่เขาอาจจะไม่ใช่คนดีเลยก็ได้”

 

หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มเล่าเรื่อง โดยเริ่มจากการเขียนบล็อก และทำรายการทีวีบนสื่ออินเทอร์เน็ต ใช้ชื่อ http://www.fukduk.tv เป็นการสร้างความเชื่อ และเป็นการปูทางไปสู่ฝันของเขา นั่นคือการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์

“ผมคิดว่าต้องสร้างความเชื่อขึ้นมาก่อน โดยการเล่าเรื่องของเราในที่ที่เล็กกว่า อยู่ง่ายกว่า อิสระกว่า ผมจึงคิดว่าเริ่มทำรายการจากอินเทอร์เน็ต เพราะผมมองว่าสื่อบนอินเทอร์เน็ตมีความเป็นอิสระสูง มีการควบคุมต่ำ ใช้งบประมาณต่ำกว่า เริ่มต้นได้ง่ายกว่า ใช้เวลาในการฝึกวิทยายุทธ์ ผมก็เลยเริ่มทำสื่อบนอินเทอร์เน็ต ทำรายการทีวี ทำทำแมกกาซีน ทำรายการสด ทำทีวี หลังจากนั้นก็เริ่มขยายไปจานดาวเทียม เมื่อเราเริ่มลงมือทำ แล้วเราก็ทำไปเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายแล้วถึงลดมาอยู่ที่โรงภาพยนตร์ ผมคิดว่าโรงภาพยนตร์นี่คือสิ่งสุดท้ายเลยครับ ที่ผมจะไป”

 

FukDuk สร้างความเชื่อจากสิ่งเดียวกัน

 

คุณชายเล่าถึงรูปแบบรายการว่าคือการเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์ มีรายการหลากหลาย เปลี่ยนทุกวัน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักพิธีกรรายการของเขาที่ชื่อเหมย ซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการหาโลเกชัน ถ่ายทำรายการ

“เห็นคนที่เพิ่งผ่านไปไหม หัวฟูๆ ชื่อเหมยเป็นพิธีกรรายการ เขาก็ทำรายการ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าตอนต่อไปจะออกมาเป็นยังไง รูปแบบมันไม่ได้มีความชัดเจน เรามีเรื่องราว 20 กว่ารายการ หรือเรื่องทุกอย่างที่คนสนใจ ทุกอย่างมีหมดจริงๆ

เราเสนอด้วยมุมมองที่เป็นอิสระ อาจจะแตกต่างจากคนอื่นก็ได้ อาจจะมีเหมือนเดิมก็ได้ โปรดักชันไม่ต้องดี หรือไม่ต้องแย่จนเกินไป เราทำให้มันเหมาะสมกับที่เราสามารถทำได้ แล้วก็พัฒนาไปเรื่อยๆ เหมือนอัลไคด้า คือเหมือนเรามีความเชื่อเดียวกัน พอมีความเชื่อเดียวกันแล้ว คนแต่ละคนก็สามารถแยกกันทำงานได้อย่างอิสรเสรี โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาพึ่งผม”

 

สำหรับหน้าที่ของคุณชายนั้น เขาบอกว่าต้องทำทุกอย่างตั้งแต่การดูแลเรื่องโปดักชัน ไปจนถึงการตลาด อย่างตอนที่กำลังคุยกับเรานั้น ใจเขาก็ลอยไปหางานเรียบร้อยแล้ว

“ผมทำทุกอย่างครับ เดี๋ยวต้องไปจัดรายการให้อีกรายการหนึ่ง สัมภาษณ์เสร็จ ถ่ายรูป ผมต้องรีบไปจัดไฟ รีบถ่ายรายการให้เสร็จ แล้วก็ต้องมาดูตัดต่อ บันทึกกรรมยังตัดต่อไม่เสร็จ แล้วก็มีถ่ายซ่อมอีกเล็กน้อย หาอุปกรณ์ เตรียมงาน หาโลเกชันคืนนี้ ในขณะเดียวผมต้องดูการตลาด เรียกได้ว่าดูทุกด้านนะครับ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องเซ็นเอกสาร ตรวจดู เคลียร์บิล เคลียร์บัญชี

การเป็นเจ้าของไม่ใช่หน้าที่หลัก การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่หน้าที่หลัก ไม่ใช่เปลี่ยนผ้าอ้อมอย่างเดียว บริษัทเหมือนเป็นลูก งานคือตัวลูกของเรา ไม่ใช่ผมบอกว่าผมเปลี่ยนผ้าอ้อมอย่างเดียวนะ อย่างอื่นคุณทำนะ ไม่ใช่ มันผิดวัตถุประสงค์ของการเป็นเจ้าของบริษัทที่ดีนะ ผมว่า”

 

สุขอย่างพอเพียง

 

ภายนอกคุณชายอดัม ดูเป็นผู้ชายติดดิน แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มีความสุขกับการทำงาน ใช้ชีวิตอย่างไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่คุณชายบอกกับเราว่าคำว่าติดดินไม่ใช่ตัวเขา เขามองว่าตนเองเป็นคนใช้ชีวิตแบบพอเพียงมากกว่า

“ผมชอบรถสวยๆ นะ เห็นสปอร์ตมัสแตง ผมก็อยากซื้อ ผมว่าไม่มีใครติดดินในโลกนี้หรอกครับ คนแต่ละคนก็มีความฝัน อยู่ที่ว่าความฝันตรงนั้นจะอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้หรือเปล่า ถ้าคุณติดดินแปลว่าคุณน้อยเนื้อต่ำใจกับโลกใบนี้ แล้วคุณก็เป็นคนปัญญาอ่อนพอสมควร ที่ไม่มองขึ้นไปข้างบน แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า คุณต้องพัฒนาตัวเองในแง่จิตใจ ภาวะทางอารมณ์ และเงินในกระเป๋า

ผมไม่ใช่คนที่ติดดิน คนติดดินเป็นยังไงผมต้องทิ้งกางเกงยีนส์อามานี่ ผมต้องเป็นส. ศิวรักษ์ ผมไม่ใช่คนที่ติดดิน แต่ผมเป็นคนที่รู้จักคำว่าพอเพียง พอใจกับออฟฟิศ 2 ห้อง ถามว่างานมันดีขึ้นได้ไหม มันดีขึ้นได้อีก เพราะว่าผมไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ผมขอให้มีความสุขเป็นพอ มีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็น

ความฝันของผมคืออยากมีบ้าน มีครอบครัว มีรถ มีหมา ผมก็ไม่ได้ฝันอะไรมากมาย ตอนนี้ผมทำตามฝันผมหมดแล้ว ที่เหลือก็คือโบนัสของชีวิต ในการที่จะให้กลับคืนสังคมบ้าง”

 

สำหรับไอดอลของคุณชายอดัมนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากท่านพ่อ ม.จ.ชาตรี เฉลิม ยุคล ที่ทำให้เขาได้คลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก ตลอดจนคำสอนของท่านพ่อที่สอนให้เขาตั้งคำถามเสมอ จนทำให้คุณชายกลายมาเป็นนักเล่าเรื่อง และเป็นลูกไม้ใต้ต้นอย่างทุกวันนี้

“ท่านพ่อเป็นผู้กำกับ เป็นนักเล่าเรื่อง ท่านมีความสุขกับสิ่งที่ทำทุกวัน ท่านเป็นคนรู้เยอะ ไม่หวงวิชา รู้จักคำว่าพอเพียง ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ท่านปลูกฝังให้เรา มีคำถามว่าทำไม ท่านจะถามว่าทำไมก่อนเสมอกับสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้ว่าทำไมเราถึงทำ ชีวิตก็จะมีประโยชน์มากขึ้น ถ้าเราถามคำถามตัวเองได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้อื่นใด เรารู้เหตุผลเฉพาะตัว ทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้”

 

 

_________________________________________

ขอบคุณที่มาจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000133760

ทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์, ภาพโดย พลภัทร วรรณดี

บทความ ‘คุณชายบ้าพลัง’ ลูกไม้ใต้ต้นของท่านมุ้ย ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล

วันที่ 24 กันยายน 2553

You may also like...