พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ร่วมสนทนาในงานเปิดตัวหนังสือ“สตีฟ จอบส์ อัจฉริยะพลิกโลก” ของสำนักพิมพ์ปราณ ภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
พร้อมด้วย นายชินวัฒน์ ชนะหมอก ผู้บริหารสำนักพิมพ์ปราณ และคุณศิริกร สิมสีแก้ว ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซี พี ออลล์ จำกัด(มหาชน) โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก
ท่านว.วชิรเมธี ชี้ข้อดี 3 ประการกับบทเรียนที่ทรงพลัง จาก “สตีฟ จอบส์ อัจฉริยะพลิกโลก”
มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่วงการอุตสาหกรรม ซึ่ง สตีฟ จอบส์ ก็คือหนึ่งในไม่กี่คนนั้น ที่สามารถทำได้ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งชีวิตของมนุษย์ สำนักพิมพ์ปราณ ภายใต้แนวคิด “การอ่าน คือ ลมหายใจ” เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ล่าสุด “สตีฟ จอบส์ อัจฉริยะพลิกโลก” พร้อมจัดเวทีเสวนาเพื่อเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันขบคิดถึง “มรดกชีวิต” ที่สตีฟ จอบส์ ทิ้งไว้ 1 ปี ที่เขาจากโลกใบนี้ไปเขาได้ฝากอะไรไว้ให้กับโลกบ้าง โดยมี พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) พระนักปราชญ์ร่วมเสนอมุมมอง และแลกเปลี่ยนทัศนะกับพิธีกรหนุ่มไอทีที่คร่ำหวอด อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีอย่าง หนุ่ย –พงษ์สุข หิรัญพฤกษ์ ซึ่งจัดขึ้นภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) กล่าวว่า “ครบรอบ 1 ปี แห่งการจากไปของสตีฟ จอบส์ สำหรับคนที่ไม่สนใจนวัตกรรมคงไม่มีความหมายอะไร แต่สำหรับคนที่สนใจนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมระดับเปลี่ยนแปลงโลก 1 ปี แห่งการจากไปของเขายังคงมีความหมาย เพราะก่อนจากไปเขายังคงฝากวิสัยทัศน์มากมายเอาไว้ให้คนรุ่นหลังสานต่อ ชีวิตสตีฟ จอบส์ จึงเป็นทั้งงานศิลปะและเป็นทั้งนวัตกรรม เพราะเขาสร้างตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ จากคนที่ครั้งหนึ่ง ‘หาค่าไม่มี’ พลิกผันมาเป็นคนที่ ‘หาค่าประเมินมิได้’
หลายสิ่งในชีวิตของเขาล้วนหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่น่ายอมรับและคนอย่างเราๆควรนำมาเป็นแบบอย่างเพื่อปรับใช้ในชีวิต ประการแรก คือ เขาเกิดในสภาพแวดล้อมที่ “เอื้อ” ต่อการให้เขาคิดเชิงบวก เมื่ออายุราว หกหรือเจ็ดปี จอบส์บอกกับเด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามบ้านว่า เขาเป็นเด็กที่พ่อแม่ขอมาเลี้ยง เด็กหญิงคนนั้นถามกลับไปว่า แปลว่า พ่อแม่แท้ๆ ไม่ต้องการเธออย่างนั้นเหรอ จอบส์ร้องไห้วิ่งเข้าบ้าน พ่อแม่บุญธรรมของเขาเข้ามาปลอบพร้อมอธิบายอย่างจริงจังว่า ใครบอกว่าลูกถูกทิ้ง พ่อแม่เลือกไปเลือกลูกจากโรงพยาบาล คุณคือคนที่ถูกเลือก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจอบส์ฝังใจว่าเขาเป็นคนพิเศษ นี่คือสิ่งที่พ่อแม่บุญธรรมหล่อหลอมให้เขามองโลกเชิงบวก หรืออย่างในช่วงที่เขาโดนปลดจากบริษัทฯ ตอนอายุ 30 ปี เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับมองว่า นั่นคือช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตสำหรับเขา เขามองว่าสุดยอดที่ถูกเตะออกมา เพราะเขาสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ การอยู่ในที่ที่คนไม่เห็นคุณค่าเพียงนาทีเดียวก็ไม่คุ้มค่า 10 ปีที่ถูกเตะออกไป เขาบอกว่า ผมพร้อมสำหรับทุกวิกฤตในชีวิตแล้ว ต่อมาเขาไปขอบคุณทุกคนที่ทำให้เขาได้มองเห็นตัวเอง”
ประการที่สอง เขาเป็นผู้ชื่นชอบความสมบูรณ์แบบ พ่อได้สร้างความประทับใจ อย่างลึกซึ้งให้กับเขาในความทุ่มเทในรายละเอียดและฝีมืออันประณีต พ่อของเขาตอกย้ำถึงความสำคัญของการทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยตัวอย่างของสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายได้เรียนรู้ เช่น “ถ้าเราเป็นช่างไม้และต้องการสร้างตู้ลิ้นชักสวยๆสักใบ เราจะต้องไม่ใช้ไม้อัดด้านหลังตู้ ถึงแม้จะวางชิดผนังไม่มีใครเห็นก็ตาม แต่เรารู้” นี่คือสิ่งที่สตีฟ จอยส์ นำมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่ากับผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิล นวัตกรรมทุกชิ้นที่เขาสร้างมาจึงสวยไม่มีที่ติ ประการที่สาม เขาเป็นคนทำอะไรเต็มที่และทำให้ดีที่สุด จะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ชองแอปเปิล หากเขาเห็นว่ายังไม่ดีที่สุดจะไม่มีทางปล่อยออกมา เขาทำตามหัวใจตัวเอง ไม่เคยยอมรับในสิ่งที่แค่พอใช้ได้เท่านั้น ถ้าไม่เชื่อว่านั่นเป็นงานที่ยอดเยี่ยม เขาจะทำใหม่อีกครั้ง
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี กล่าวทิ้งท้ายถึงการปรับเปลี่ยนสังคมให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมว่า “เราต้องช่วยกันสร้างวัฒนธรรมกระตุ้นให้คิด กล้าคิด ต้องร่วมกันเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานสังคมจากสังคมแห่งความเชื่อ มาเป็นสังคมของนักคิด เพราะถ้าไม่รักที่จะคิดก็จะไม่มีโอกาสที่จะสร้างนวัตกรรมได้”
หนุ่ย พงษ์สุข หิรัญพฤกษ์ กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบสตีฟ จอบส์ นวัตกรรมแต่ละชิ้นที่เขาสร้างสรรค์ ไว้บนโลกใบนี้นั้นมีคุณค่ามาก หากจะเรียกว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่พลิกโลกคงไม่ไกลเกินไปนัก ไอแพด 1 ที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น ด้านหลังเป็นแผ่นอลูมิเนียมชิ้นเดียวที่ถูกรีดจนบางเฉียบและดีไซน์เป็นเลิศ น่าทะนุถนอม จนทำให้เกิดกระแสเคสไอแพดที่ทุกคนต้องมี ต้องซื้อเพื่อถนอมไม่ให้มีร่องรอยขีดข่วน”
นอกจากนี้ยังมี คุณสุทธิชัย หยุ่น ร่วมให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “คำว่า สตีฟ จอบส์ อัจฉริยะพลิกโลก ไม่เกินเลยความเป็นจริง เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพียงแค่เป็นอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำ สำหรับฟังเพลงเท่านั้น แต่พลิกความคิดความอ่าน ทำให้อุตสาหกรรมดนตรี อุตสาหกรรมปัญญาชน อุตสาหกรรมของการศึกษาเรียนรู้ทุกๆ ด้านของความเป็นอยู่มนุษย์ ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับนั้น ได้ผลจากการที่สตีฟ จอบส์ คิดประดิษฐ์ และด้วยความมุ่งมั่นและความเป็นเลิศที่ประณีตเต็มที่ จึงทำให้โลกนี้เปลี่ยนไป วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป ด้วยสิ่งที่สตีฟ จอบส์ คิด ประดิษฐ์ และทำให้คนทั้งโลกได้ใช้ไม่ว่าคุณจะอยู่วิชาชีพไหน คุณจะเป็นเพศอะไร ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ส่วนไหนของโลก สิ่งที่สตีฟ จอบส์ ทำให้เราล้วนมีผล และเป็นผลทางด้านบวก ที่ทำให้คุณภาพชีวิตเราสูงกว่าที่เราเคยคาดคิด
สิ่งที่สตีฟ จอบส์ฝากไว้กับชาวโลก หลังจากที่เขาจากไป คือความเชื่อที่ว่าถ้าคุณมุ่งมั่นจริง ถ้าคุณทุ่มเทจริง ถ้าคุณเชื่อในสิ่งที่คุณต้องการทำให้โลก หรือว่าเปลี่ยนโลกจริง คุณทำได้ ”
1 ปีของการจากไปของ สตีฟ จอบส์ บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย มรดกชีวิตที่เขาทิ้งไว้ให้กับโลก ไม่ใช่เพียงนวัตกรรมชั้นเลิศเท่านั้น แต่ยังให้บทเรียนที่ทรงพลังในการใช้ชีวิตของเขาว่า “Stay Hungry , Stay Foolish จงหิวกระหาย จงละม้ายคนโง่”
สำหรับผู้สนใจสามารถหาซื้อหนังสือ “สตีฟ จอบส์ อัจฉริยะพลิกโลก” หนังสือสาระดีจากสำนักพิมพ์ปราณ ที่มุ่งสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับผู้อ่านภายใต้แนวคิด “การอ่านคือลมหายใจ” ซึ่งแปลมาจากหนังสือ “ STEVE JOBS : The Man Who Thought Different” ของคาเรน บลูเมลทัล โดยคุณนรา สุภัคโรจน์ เป็นผู้แปล ทั้งนี้ได้จัดทำทั้งแบบปกอ่อนและปกแข็งให้เลือก โดยปกอ่อนราคา199 บาท ส่วนปกแข็งมีจำนวนจำกัดเพียง 4,000 เล่มจำหน่ายราคา 300 บาท และพิเศษสุดเฉพาะภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 ตั้งแต่วันนี้ – 28 ตุลาคมศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์สำหรับนักอ่านและสาวกสตีฟ จอบส์ทุกท่าน สามารถจับจองเป็นเจ้าของสินค้าชุด limited edition ของสตีฟ จอบส์ได้พร้อมหนังสือปกแข็งในราคาเพียง 500 บาท มีเพียง 1,000 ชุดเท่านั้น และพลาดไม่ได้เด็ดขาดงานนี้หนังสือทุกเล่มลดราคาตั้งแต่สุดๆ 15-30 % แล้วพบกันที่สำนักพิมพ์ปราณ โซนเพลนเนอรี่ ฮอลล์ บูธ C 8.